ก้จั่วหัวให้มันน่าสนใจ(อยากให้ชาวนาคิดตาม)
ไม่ใช่ชาวนา ไม่ได้ทำนา แต่เคยทำนา
.
มองผืนนาก่อน 1ชาติที่ผ่านมาคุณทำอะไรที่เรียกว่าการบำรุงดิน
.
คุณเผาฟางมากี่ชาติ ไม่ด่างจัด ก็กรดจัด
.
คุณหมดเงิดกับปุ๋ยเม็ดไปกี่ร้อยตัน ตลอดอายุการทำงานลองคูรด้วยราคาปุ๋ยต่อกระสอบดู
ครั้งละ 50 ลูก คูณด้วย สองครั้งต่อปี 100 ลูก/ปี
100ลูกต่อปีคุณด้วย อายุ พ่อ แม่ ปู่ ย่า ตายาย และคุณ
100ลูกคูรด้วย 700บาท ได้ 7 หมื่น/ปี
รวมทั้งโคตร อายุสัก 200 ปี (4ช่วงอายุคนเอง)
70000บาทคูณด้วย 200ปี เท่ากับ 1ล้านสี่แสนบาท
นี่เงินค่าปุ๋ย ที่คุณยกให้นายทุนไปเจ้าเดียว
ยังไม่ได้รวมค่ายาสารพัด ที่เขาเอามาให้ใช้ หรือใช้ตามๆกันมาโดยไม่รู้เหตุผล
.
เผาฟางบนที่นาแปลงเดิม อีก 100 ครั้งต่อไป เผามา 200 ปีแล้ว บนแผ่นดินผืนเดิม
.
แร่ธาตุ อาหาร ที่ไหนมันจะมามีให้ต้นข้าวกิน ในนาแปลงนั้น
.
อยากได้ไร่ละเกวียน 2 เกวียน โดยแค่ปลูกข้าวแล้วสูบน้ำใส่
.
ปุ๋ยไม่ต้อง............
.
คุณก้ลองเอาอินทรีย์วัตถุ เข้าไปเท สักไร่ละตัน สองตัน สัก3 ปี
.
เท่านี้ละ คุณไม่ต้องใส่ปุ็ยเลย อีกต่อไป
.
อยากรู้ลองเอาดินไปวันที่ พัฒนาที่ดินดู คุณจะตกใจ
อินทรีย์วัตถุในนาคุณ อาจไม่ถึง 1%ด้วยช้ำ
.
ดินต้องมีอินทรีย์วัตถุ อย่างน้อย 5% ขึ้นไป พืชถึงจะ เจริญงอกงามได้เป็นอย่างดี
.
แล้วการที่ข้าวจะแตกกออย่างดีว๊ากๆๆๆๆ ฟอสฟอรัสต้องสูงมากๆ
ทำแค่สองอย่างนี้ สัก 2-3ปี ก็ลืมตา อ้าปากได้แล้ว
.
อินทรีย์วัตถุ ก็หาเอาจากกากโรงงาน นั่นละ ได้หมด เอามาใส่พื้นนา ราดด้วยจุลินทรีย์ หมักทิ้งไว้ สักเดือน แล้วค่อยไถทำทำนา ครั้งแรกก็เห็นผลต่างแล้ว ไม่ต้องรอนาน
.
ก็แค่ข้อคิด คนทำนา
.............................................
เหตุผลเดียวกันนี้ลุงถึงทำกล้วยโดยไม่ต้องซื้อปุ๋ย แค่บำรุงดินให้สุดชีวิต
กาก ฟาง หญ้า ผัก มันอยู่ที่ไหน ไปขนมาใส่ เท่านั้นละ
.
.
ใครทำกล้วยไม่รวย
1.ทำมากเกินกำลัง ดูแลไม่ไหว
2.ไม่ใช้อินทรีย์วัตถุช่วย เอาแต่เคมี
3.ไม่ตรวจวัดดิน เลยไม่รู้จักดินตัวเอง
4.ไม่ขายเอง ก้ได้เงินน้อย รวยช้า
5. จบการแถลงข่าว คืนนี้
.
.
ไม่ใช่ชาวนา ไม่ได้ทำนา แต่เคยทำนา
.
มองผืนนาก่อน 1ชาติที่ผ่านมาคุณทำอะไรที่เรียกว่าการบำรุงดิน
.
คุณเผาฟางมากี่ชาติ ไม่ด่างจัด ก็กรดจัด
.
คุณหมดเงิดกับปุ๋ยเม็ดไปกี่ร้อยตัน ตลอดอายุการทำงานลองคูรด้วยราคาปุ๋ยต่อกระสอบดู
ครั้งละ 50 ลูก คูณด้วย สองครั้งต่อปี 100 ลูก/ปี
100ลูกต่อปีคุณด้วย อายุ พ่อ แม่ ปู่ ย่า ตายาย และคุณ
100ลูกคูรด้วย 700บาท ได้ 7 หมื่น/ปี
รวมทั้งโคตร อายุสัก 200 ปี (4ช่วงอายุคนเอง)
70000บาทคูณด้วย 200ปี เท่ากับ 1ล้านสี่แสนบาท
นี่เงินค่าปุ๋ย ที่คุณยกให้นายทุนไปเจ้าเดียว
ยังไม่ได้รวมค่ายาสารพัด ที่เขาเอามาให้ใช้ หรือใช้ตามๆกันมาโดยไม่รู้เหตุผล
.
เผาฟางบนที่นาแปลงเดิม อีก 100 ครั้งต่อไป เผามา 200 ปีแล้ว บนแผ่นดินผืนเดิม
.
แร่ธาตุ อาหาร ที่ไหนมันจะมามีให้ต้นข้าวกิน ในนาแปลงนั้น
.
อยากได้ไร่ละเกวียน 2 เกวียน โดยแค่ปลูกข้าวแล้วสูบน้ำใส่
.
ปุ๋ยไม่ต้อง............
.
คุณก้ลองเอาอินทรีย์วัตถุ เข้าไปเท สักไร่ละตัน สองตัน สัก3 ปี
.
เท่านี้ละ คุณไม่ต้องใส่ปุ็ยเลย อีกต่อไป
.
อยากรู้ลองเอาดินไปวันที่ พัฒนาที่ดินดู คุณจะตกใจ
อินทรีย์วัตถุในนาคุณ อาจไม่ถึง 1%ด้วยช้ำ
.
ดินต้องมีอินทรีย์วัตถุ อย่างน้อย 5% ขึ้นไป พืชถึงจะ เจริญงอกงามได้เป็นอย่างดี
.
แล้วการที่ข้าวจะแตกกออย่างดีว๊ากๆๆๆๆ ฟอสฟอรัสต้องสูงมากๆ
ทำแค่สองอย่างนี้ สัก 2-3ปี ก็ลืมตา อ้าปากได้แล้ว
.
อินทรีย์วัตถุ ก็หาเอาจากกากโรงงาน นั่นละ ได้หมด เอามาใส่พื้นนา ราดด้วยจุลินทรีย์ หมักทิ้งไว้ สักเดือน แล้วค่อยไถทำทำนา ครั้งแรกก็เห็นผลต่างแล้ว ไม่ต้องรอนาน
.
ก็แค่ข้อคิด คนทำนา
.............................................
เหตุผลเดียวกันนี้ลุงถึงทำกล้วยโดยไม่ต้องซื้อปุ๋ย แค่บำรุงดินให้สุดชีวิต
กาก ฟาง หญ้า ผัก มันอยู่ที่ไหน ไปขนมาใส่ เท่านั้นละ
.
.
ใครทำกล้วยไม่รวย
1.ทำมากเกินกำลัง ดูแลไม่ไหว
2.ไม่ใช้อินทรีย์วัตถุช่วย เอาแต่เคมี
3.ไม่ตรวจวัดดิน เลยไม่รู้จักดินตัวเอง
4.ไม่ขายเอง ก้ได้เงินน้อย รวยช้า
5. จบการแถลงข่าว คืนนี้
.
.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น