วันอังคารที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2561

เกษตรไทย นับวันเดินถอยหลังเพราะขาดตวามเข้าใจทางวิชาการ

ทุกวันนี้แค่เราย่ำอยู่กับที่ ก็เหมือนเราเดินถอยหลัง เพราะประเทศอื่นเขาก้าวไปข้างหน้า
.
 มันไม่ใช่ความผิดของเกษตรกรทั้งหมด ที่ไม่เรียนรู้
.
เจ้าหน้าที่เกษตร    ในหน่วยงานนี้  เป็นหน้าที่โดยตรง ของหน่วยงานนี้ ที่จะต้องนำ ความกว้าหน้าทางวิชาการ มากรอกหูชาวบ้าน
.
ความหวังทั้งหมด จึงอยู่ที่เกษตรยุกใหม่ ที่ใส่ใจเพื่อพัฒนาอาชีพตัวเอง
.
แล้วอย่าตกเป็นเหยื่อ บริษัทปุ๋ย ยา
ก่อนควักเงินซื้อ ให้นึกถึงความจำเป็นก่อนว่า มันต้องใช้จริงๆ หรือใช้เพราะเรารู้สึกว่าต้องใช้
ตรงนี้ สำคัญที่สุด
.
1.ต้องรู้จักดินของท่านก่อน รุ้ให้มากรู้ให้ลึก เดินย่ำ กำมาบี้บ่อยๆ เอามาตุ้ย เอามาเขี่ย ขุดดูหลายระดับความลึก นั่งสังเกตุมันบ่อยๆ จนจำลักษณะดินของท่านได้ ดูว่า ดิน 1 กำมือนของท่าน มันมี อะไรบ้าง ดูอย่างละเอียด มีเศษไม้เท่าไร เศษหญ้าเท่าไร มีทราย มีหิน มีดิน มีใบไม่ มีถ่าน มีอะไรบ้างที่มาประกอบกันเป็นดิน 1 กำมือ

2.ใบไม้นี้เดินไปเด็ดมานั่งดูเลย หรือนอนดูมันทั้งวัน มันเหลืองยังไง ดูแบบส่องพระ จะเห็นความแตกต่างเลย ว่ามันน่าจะขาดอะไร เพราะเราไม่มีเครื่องตรวจราคาแพงไง ต้องเอาตาเรานี่ละเป็นเครื่องตรวจเบื้องต้น มันบอกเราทุกอย่างนั่นละ ใบไม้ ถ้าเราดูมันดีๆ
.
2.เรียนรู้เรื่อง ธาตุอาหารครับ อ่านๆๆๆๆ จนขึ้นใจ  มันมีอะไรบ้าง 13+3 ชนิด มันทำงานอย่างไร มันเคลื่อนที่อย่างไร ธาตุไหน ทำหน้าที่อะไร อย่างไร
3.เรียนรู้เรื่องสภาพอากาศ ความชื้น ความกัดอากาศ ความชื้นสัมพัด ปริมาณน้ำฝน ความเร็วลม ณ.พื้นที่ตรงนั้น ที่ทำการเกษตร
.........
รู้เรื่อง ธาตุอาหาร
อันไหนประจุบวก อันไหนประจุลบ ต้องเรียนรู้ เพราะมันเกี่ยวพันไปถึง การวางตำแหน่งการไห้ปุ๋ย

อย่างคุณวางสูตร 15-15-15 ห่างจากต้นไม้ 1-1.5เมตร ยูเรียมันไปได้ โพแทสเซียม พอจะกระดึ๊บไปได้ ช้าหน่อย แต่มันไม่สลายงาย พืชยังมีโอกาสยื่นรากมากิน ฟอสฟอรัส มันไปหาต้นไม้ไม่ได้
ตกตรงไหนมันตกตะกอนอยู่ในดินตรงนั้น เพราะมันไม่สามารถ เคลื่อนที่ได้ในดิน

ต่างกับพวก NO3 S CI B เคลื่อนที่ได้ ไนเตรท ซัลเฟส ครอไลน์ โบร่อน พวกนี้ประจุลบ เคลื่อนที่ในดินได้เร็ว แต่อัตตราการสูญเสียสูง ใส่ปุ๊บฝนตกตูม ไหลไปกับน้ำหมด

พวกK Ca Mg NH4 เคลื่อนที่ได้น้อยในดิน เพราะมันเป็น ประจุบวกตกลงดิน มันก็ยังถูกจับไว้ได้

แต่พวก P Mo Mn Fe Cu Zn ไม่เคลื่อนที่ จึงต้องทำการ ต้องใส่ไกล้ๆ ราก เพื่อให้ราก เดินมาหาได้
.
สิ่งเหล่านี้ ผมถามว่า มีใครเคยออกมาบอกเกษตรกร ตามบ้านนอกมั่งไหม
ชาวไร่ ชาวนา ชาวสวน เขารู้ใหม...มันเป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ต้อง ออกมาให้ความรู้
.
แล้ว ธาตอาหารบางอย่างที่เครื่อนที่ได้ในดิน มันก็ดันเคลื่อนที่ไม่ได้ในต้นไม้
คุณต้องออกมาบอกเราว่าต้องทำยังไง ต้องใส่ยังไงให้มันถูกวิธี ไม่ใช่ มีอะไรก็หว่านๆไป
.
บ้านเรา ใช้ปุ๋ยมาก แต่ ได้ผลน้อย เพราะใช้กันตามมีตามเกิด
.
ยูเรียใส่แต่น้อย ใส่บ่อย เพราะมันมันไม่อยู่คงทน สูญเสียง่าน
ฟอสฟอรัส ใส่กันจนล้นเหลือ เกินความจำเป็น แล้วมันก็ไปกด ธาตุตัวอื่น ให้น้อยผลผลิตก็ตกต่ำ เพราะมันตกตะกอนอนู่ในดิน
..
ในพืช 
ธาตุอะไร ที่เคลื่อนที่ได้  ไปทุกเวปเจอหมด ไปทั้งประเทศเจอหมด คำถามเดิมๆซ้ำซาก ตั้งแต่ทำเกษตร พิชใบเหลือง ต้นไม้ผมเป็นอะไร
.
เราต้องสอนให้เขาสังเกตุ มันเหลืองแบบไหน เหลืองอย่างไร เหลืองจากบนลงล่าง หรือเหลืองจากล่างขึ้นบน เหลืองจากโคนมาปลายใบ หรือเปลืองจากปลายใบมาโคนใบ.ใบเล็กใหม ใบบิดเบี้ยวไหม ใบหยิดไหม.ลงไปสอนครับ ไปสอนให้ถึงสวน เขาจะจำไปจนตายยันลูกหลานปปล่อยให้เขาไปถามร้านยา ก็ได้เสียตังทุกครั้ง ทั้งที่มันไม่จำเป็นต้องเสียเงินเลย
.
บางครั้งมันแค่การเคลื่อนย้ายอาหารของ N P K Mg C1(S) เมื่อใช้จนหมดสภาพก็จะเครื่องย้ายไปที่ใบอ่อน ที่ยอดที่มันแตกใหม่ ใบล่างมันก้เหลือง กับอีกหลายๆอาการ เอายามาฉีดไม่ได้ ต้องมาเช็คที่ดินและธาตุอาหารในดินว่าตัวไหน มากเกิน ตัวไหนน้อยเกิน มันจะไปกดทับกันเอง
.
แล้วธาตุอะไรไม่เคลื่อนที่ในพืช
แล้วอะไรไม่เคลื่อนที่ในพืช..แคลเซี่ยมในดินเป็นล้าน ไม่ได้รับประกันว่า ที่ใบที่ผล จะไม่ขาดแคลเซียม เพราะพวกนี้ มันเคลื่อนที่เองไม่ได้ มันต้องอาสัยไปกับท่อน้ำ(ไม่ใช่ท่ออาหารนะ) พวกที่เอาแคลเซียมไปฉีดโครมๆๆๆๆ มันจึงไร้ค่า เพราะปริมาณ มันไม่พอกับความต้องการ ฉีดเพื่อให้ได้ฉีด ยังไม่รู้เลยว่าทำไม ต้องฉีด..ถ้าเรารู้ระบบการทำงาน การเคลื้อนที่ และปัจจัยที่จะทำให้มันเคลื่อนที่ เราคงต้องตบกะบาลตัวเอง ว่าโง่มาตั้งนาน มันทำงานอย่างนี้เรอะ...วิชาการแบบนี้ที่ต้องส่งเจ้าหน้าที่ออกไปปล่าวประกาศให้ชาวบ้านรู้
(โบร่อน ก็เคลื่อนที่ในต้นไม้ไม่ได้  พืชใช้น้อย แต่ต้องมี แค่ฉีดก็ยังพอ)
.
มันก้เหมือนน้ำเต็มแก้ว เอาหินใส่ไป น้ำมันต้องล้นออก เหลือน้อยลง 13+3ธาตุก้เหมือนกัน ตัวไหมมาก ย่อมไปกดให้ตัวอื่นน้อยลง..พอมันไม่สมดุลย์ นั่นคือ อาหารเป็นพิษ
.
ปัจจัยที่มีผลต่อธาตุอาหารคือค่า พิเอชในดิน 6.5 คือค่าที่ดีที่สุด ที่ความลูก 20-50 ซม อยู่ที่ว่าคุณปลูกอะไร รากความลึกระดับไหน ปลูกผัก10-20ซม คงพอ แต่ไม้ผล คงไม่ใช่
.
สภาพอากาศ แบบไหน ตอนไหน เวลาไหน ความชื้นสัมพัดเท่าไร ความกดอากาศขนาดไหน เหมาะสมที่จะให้ปุ๋ย และพืชคายน้ำได้ดีที่สุด ต้องออกมาบอกครับ....นี่ปล่อยกันตามมีตามเกิด
.
ที่จริงใส่ปุ๋ยไร่ละ 3กิโลได้ ก็ใส่กันเป็นไร่ละ กระสอบ เพราะรู้สึกว่าต้องใส่ ไม่ได้ใส่เพราะต้องใส่ เพราะไม่มี อะไรมากำหนด ว่าสมควรหรือไม่สมควร ใส่ไว้ก่อนเพราะเคยใส่ .. วิทยาการตรงนี้ ต้องออกไปบอก ไปกรอกหูชาวบ้าน...เจ้าหน้าที่ทั้งประเทศ มีสักคนไหม ที่ออกมาพูดเรื่องนี้ ไม่มีแล้วชาวบ้านจะรู้ยังไง ขนาดท่านเรียนมา ยังไม่รู้ ยังไม่บอกมันเป็นหน้าที่ของท่าน ที่เข้ามาตรงนี้
.
คุณลองไปดูแปลงสัปรด คุณว่าปากใบ มันเปิดตอนไหน..กับอีกหลายๆพืช ปากใบมันเปิดตอนกลางคืน กลุ่มไม้อวบน้ำ
.
การกระตุ้นให้เกิดการสังเคราะห์แสง ต้องเข้าใจว่า กลาวงวัน มันเกี่ยวข้องกับสภาพอากาศ ถ้ากระตุ้นให้พืชคายน้ำไม่ได้ พืชมันก็ไม่โต เพราะการที่พืชคายน้ำ มันจะต้องดูดน้ำมาจากราก นั่นคือมันจะพาเอาอาหาร มาด้วยโดยอัตโนมัติ  ถ้าปากใบไม่เปิด มันก็ไม่เกิดการคายน้ำ
.
มันก็จะไปเกี่ยวกับ กา๊ซ คาบอนไดออกไซด์ ซึ่งในตอนกลางวันมันลดฮวบลงมา แค่พืชต้องการมาก
.
ผมถึงได้บอกว่า มันเกี่ยวกันเป็นลูกโซ่ทั้งระบบ
ทั้งหมดทั้งปวง
ดินต้องมี พีเอช6.5 เพื่อให้ ธาตุอาหารทุกตัว เริ่มกระบวนการทำงานที่ถูกต้อง มันต้องเริ่มที่ดิน กับ อากาศเท่านั้นในการทำงาน โดยใช้ ต้นไม้เป็นตัวกลางในการ ถ่ายเท ซึ่งกันและกัน


เกษตรกรทุกคนเขารอพวกท่านอยู่....ที่แปลงนา แปลงสวน เพราะนั่นคือออฟฟิตของพวกเขา

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

เห็ดกระถินพิมานรักษามะเร็ง

พ่นควันไล่ผึ้ง

รักษาเก๊าท์

โกฏจุฬาลัมพาแห้ง