วันเสาร์ที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2567

กล้วยหอมเป็นผลไม้ที่นักกีฬานิยมรับประทานกันอย่างแพร่หลาย

 กล้วยหอมเป็นผลไม้ที่นักกีฬานิยมรับประทานกันอย่างแพร่หลาย ไม่ว่าจะเป็นก่อน ระหว่าง หรือหลังออกกำลังกาย เพราะมีคุณสมบัติที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายและการฟื้นฟูสมรรถภาพของนักกีฬา มาดูเหตุผลกันครับว่าทำไมกล้วยหอมถึงเป็นที่นิยมในหมู่นักกีฬา

1. แหล่งพลังงานชั้นดี:
กล้วยหอมอุดมไปด้วยคาร์โบไฮเดรต ซึ่งเป็นแหล่งพลังงานหลักของร่างกาย โดยเฉพาะในรูปแบบของน้ำน้ำตาลกลูโคส ฟรุกโตส และซูโครส ซึ่งร่างกายสามารถดูดซึมไปใช้ได้อย่างรวดเร็ว ช่วยเพิ่มระดับน้ำตาลในเลือด ทำให้มีแรง ไม่เหนื่อยง่าย เหมาะสำหรับรับประทานก่อนและระหว่างออกกำลังกาย
2. ช่วยป้องกันการเกิดตะคริว:
กล้วยหอมอุดมไปด้วยแร่ธาตุโพแทสเซียม ซึ่งมีส่วนสำคัญในการควบคุมสมดุลน้ำในร่างกาย การทำงานของกล้ามเนื้อ และการส่งสัญญาณประสาท ช่วยลดโอกาสการเกิดตะคริวระหว่างการออกกำลังกาย
3. บรรเทาอาการปวดเมื่อกล้ามเนื้อ:
กล้วยหอมมีส่วนช่วยลดการอักเสบของกล้ามเนื้อ จากการศึกษาพบว่า การรับประทานกล้วยหอมก่อนออกกำลังกาย ช่วยลดอาการปวดเมื่อกล้ามเนื้อหลังออกกำลังกายได้
4. ช่วยในการฟื้นฟูร่างกาย:
หลังการออกกำลังกาย ร่างกายสูญเสียพลังงานและเกลือแร่ กล้วยหอมช่วยเติมเต็มพลังงานและเกลือแร่ที่เสียไป เช่น โพแทสเซียม แมกนีเซียม ช่วยให้ร่างกายฟื้นตัวได้เร็วขึ้น
5. รับประทานง่าย พกพาสะดวก:
กล้วยหอมเป็นผลไม้ที่ปอกเปลือกและรับประทานได้ง่าย สามารถพกติดตัวไปออกกำลังกายได้สะดวก
6. ราคาไม่แพง:
กล้วยหอมเป็นผลไม้ที่หาซื้อได้ง่าย และมีราคาไม่แพง เมื่อเทียบกับผลไม้ชนิดอื่นๆ
อย่างไรก็ตาม การรับประทานกล้วยหอมเพียงอย่างเดียว อาจไม่เพียงพอต่อความต้องการของนักกีฬา นักกีฬาควรได้รับสารอาหารที่หลากหลาย ครบถ้วน และเหมาะสมกับประเภท และความหนักเบาของกีฬาที่เล่น รวมถึงปรึกษาแพทย์หรือนักโภชนาการ เพื่อวางแผนการรับประทานอาหารที่เหมาะสม

ตัวอย่างสายพันธุ์ย่อยของกล้วยคาเวนดิชที่พบได้บ่อย

 กล้วยคาเวนดิชไม่ได้มีเพียงสายพันธุ์เดียว แต่มีการแยกย่อยไปอีกหลายสายพันธุ์ย่อย (Subgroup) ซึ่งแต่ละสายพันธุ์จะมีลักษณะเฉพาะตัวที่แตกต่างกันเล็กน้อย เช่น รสชาติ ขนาดผล ความต้านทานโรค

ยกตัวอย่างสายพันธุ์ย่อยของกล้วยคาเวนดิชที่พบได้บ่อยๆ ได้แก่:
  • Grand Nain (Giant Cavendish): เป็นสายพันธุ์ย่อยที่พบได้บ่อยที่สุด ผลมีขนาดใหญ่ ปลายทู่ รสชาติหวาน
  • Dwarf Cavendish: ต้นเตี้ยกว่า Grand Nain ผลมีขนาดเล็กกว่า เหมาะสำหรับปลูกในพื้นที่จำกัด
  • Williams: ลักษณะคล้าย Grand Nain แต่ผลยาวกว่าเล็กน้อย
  • Valery: ต้านทานโรค Panama disease ได้ดีกว่าสายพันธุ์ย่อยอื่นๆ
  • GCTCV 218: เป็นสายพันธุ์ที่พัฒนาขึ้นในประเทศไทย ทนทานต่อโรคตายพราย
นอกจากสายพันธุ์ย่อยที่กล่าวมาข้างต้นแล้ว ยังมีการพัฒนาสายพันธุ์ย่อยของกล้วยคาเวนดิชอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ได้สายพันธุ์ที่มีคุณสมบัติที่ดีขึ้น เช่น ให้ผลผลิตสูง ทนทานต่อโรคและแมลงศัตรูพืช
อย่างไรก็ตาม ในท้องตลาดทั่วไป อาจไม่ได้มีการแยกขายกล้วยคาเวนดิชเป็นสายพันธุ์ย่อยอย่างชัดเจน และส่วนใหญ่แล้ว ผู้บริโภคทั่วไปอาจไม่สามารถแยกความแตกต่างของแต่ละสายพันธุ์ย่อยได้

การแยกกล้วยคาเวนดิชกับกล้วยหอมทองในตลาด

 การแยกกล้วยคาเวนดิชกับกล้วยหอมทองในตลาด อาจไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะลักษณะภายนอกค่อนข้างคล้ายกัน แต่เราก็สามารถสังเกตความแตกต่างได้จากจุดสังเกตเหล่านี้ครับ

1. ขนาดและรูปร่าง:
  • กล้วยคาเวนดิช: ผลมีขนาดใหญ่กว่าเล็กน้อย รูปร่างค่อนข้างอวบ ป้อม ปลายมน
  • กล้วยหอมทอง: ผลมีขนาดเล็กกว่า รูปร่างค่อนข้างเรียวยาวกว่า ปลายแหลมเล็กน้อย
2. สีผิว:
  • กล้วยคาเวนดิช: ผิวเรียบ เป็นมัน เมื่อสุกจะมีสีเหลืองสดใส
  • กล้วยหอมทอง: ผิวจะไม่มันวาวเท่า เมื่อสุกจะมีสีเหลืองอมทอง บางครั้งอาจมีจุดดำๆเล็กๆ
3. เนื้อสัมผัสและรสชาติ (ต้องลองชิม)
  • กล้วยคาเวนดิช: เนื้อแน่น รสชาติหวาน กลิ่นหอมอ่อนๆ
  • กล้วยหอมทอง: เนื้อจะนุ่มกว่า รสชาติหวานจัด กลิ่นหอมแรงกว่า
4. ขั้วผล:
  • กล้วยคาเวนดิช: ขั้วผลใหญ่
  • กล้วยหอมทอง: ขั้วผลเล็ก
5. ราคา:
  • กล้วยคาเวนดิช: มักมีราคาถูกกว่าเล็กน้อย เนื่องจากปลูกง่าย ผลผลิตสูง
  • กล้วยหอมทอง: อาจมีราคาแพงกว่า เพราะดูแลยากกว่า ผลผลิตน้อยกว่า
ข้อควรระวัง:
  • การสังเกตลักษณะภายนอก อาจไม่แม่นยำ 100% เพราะปัจจัยในการปลูก พันธุ์ย่อย และสภาพแวดล้อม อาจส่งผลต่อลักษณะของกล้วยได้
  • วิธีที่ดีที่สุดคือ สอบถามผู้ขายโดยตรง

การดูแลกล้วยคาเวนดิชในแต่ละช่วงอายุ และการใส่ปุ๋ย

 การดูแลกล้วยคาเวนดิชในแต่ละช่วงอายุ และการใส่ปุ๋ย

การดูแลกล้วยคาเวนดิชที่ดีในแต่ละช่วงอายุ จะช่วยให้ต้นกล้วยแข็งแรง โตเร็ว และให้ผลผลิตสูง รวมถึงการใส่ปุ๋ยที่ถูกต้องเหมาะสมในแต่ละช่วงเวลา มาดูกันเลยครับ
1. ช่วงปลูกใหม่ (1-3 เดือนแรก)
  • การดูแล: รดน้ำอย่างสม่ำเสมอ เช้า-เย็น โดยเฉพาะช่วงฤดูแล้ง ดินควรชุ่มแต่ไม่แฉะ พรวนดินรอบโคนต้น กำจัดวัชพืช ตรวจสอบโรคและแมลงศัตรูพืช เช่น หนอนกอ เพลี้ยแป้ง ถ้าพบให้กำจัดทันที
  • การใส่ปุ๋ย: เน้นปุ๋ยที่มีไนโตรเจนสูง เพื่อเร่งการเจริญเติบโตของลำต้นและใบ เช่น ปุ๋ยสูตร 46-0-0 หรือ ปุ๋ยคอก ใส่ปุ๋ยครั้งละประมาณ 100-200 กรัม/ต้น โรยรอบโคนต้น ห่างจากโคนต้นประมาณ 20-30 เซนติเมตร แล้วรดน้ำตาม ใส่ปุ๋ยทุก 1-2 สัปดาห์
2. ช่วงเจริญเติบโตทางใบ (4-7 เดือน)
  • การดูแล: รดน้ำอย่างสม่ำเสมอ อาจเว้นช่วงรดน้ำได้บ้างเมื่อต้นกล้วยตั้งตัวได้แล้ว ใส่กาบกล้วยแห้ง หรือฟางข้าวคลุมดินรอบโคนต้น ช่วยรักษาความชุ่มชื้น ป้องกันวัชพืช และเพิ่มอินทรีย์วัตถุให้กับดิน ตัดแต่งกิ่งที่ไม่สมบูรณ์ กิ่งที่เป็นโรค กิ่งที่อยู่ต่ำเกินไป เพื่อให้ต้นกล้วยโปร่ง แสงแดดส่องถึง
  • การใส่ปุ๋ย: เน้นปุ๋ยสูตรเสมอ เช่น 15-15-15 หรือ 16-16-16 เพื่อให้ต้นกล้วยได้รับสารอาหารครบถ้วน เพิ่มปริมาณปุ๋ยเป็น 200-300 กรัม/ต้น ใส่ทุกๆ 1-2 เดือน
3. ช่วงออกดอกและติดผล (8-12 เดือน)
  • การดูแล: รดน้ำอย่างสม่ำเสมอ เพิ่มความถี่ในการรดน้ำในช่วงที่กล้วยกำลังออกดอกและติดผล ใช้ไม้ค้ำยันต้นกล้วย เพื่อป้องกันต้นล้ม เมื่อกล้วยเริ่มมีน้ำหนักมาก ห่อเครือกล้วยด้วยถุงพลาสติก เพื่อป้องกันแมลง และช่วยให้ผลกล้วยสวยงาม
  • การใส่ปุ๋ย: เน้นปุ๋ยที่มีธาตุโปแตสเซียมสูง เช่น ปุ๋ยสูตร 13-13-21 เพื่อช่วยในการติดผล เพิ่มน้ำหนักผล และเพิ่มความหวานให้กับกล้วย ใส่ปุ๋ยครั้งละ 300-500 กรัม/ต้น ใส่ทุกๆ 1-2 เดือน
4. หลังการเก็บเกี่ยว
  • การดูแล: ตัดต้นกล้วยที่เก็บเกี่ยวผลผลิตแล้วออก ตัดแต่งหน่อที่ไม่ต้องการ เหลือไว้เฉพาะหน่อที่แข็งแรง ใส่ปุ๋ยคอก หรือปุ๋ยหมัก รอบโคนต้น เพื่อบำรุงดิน เเละเตรียมความพร้อมสำหรับการให้ผลผลิตในรุ่นถัดไป
  • การใส่ปุ๋ย: ใช้ปุ๋ยสูตร 15-15-15 หรือ 16-16-16 ใส่ปุ๋ยครั้งละ 200-300 กรัม/ต้น ใส่ทุกๆ 1-2 เดือน
หมายเหตุ:
  • ปริมาณและชนิดของปุ๋ยที่ใช้ อาจแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับสภาพดิน ความอุดมสมบูรณ์ของดิน และความต้องการของต้นกล้วย
  • ควรสังเกตอาการของต้นกล้วย หากพบว่าใบเหลือง ใบซีด อาจเป็นสัญญาณของการขาดธาตุอาหาร
  • ควรงดการใส่ปุ๋ยเคมีในช่วง 1 เดือนก่อนการเก็บเกี่ยว

การบ่มกล้วยหอมคาเวนดิชที่ยังเขียว ให้ออกสีเหลืองน่ารับประทาน

 การบ่มกล้วยหอมคาเวนดิชที่ยังเขียว ให้ออกสีเหลืองน่ารับประทาน

วิธีการก็เหมือนกับที่อธิบายไปก่อนหน้านี้เลยครับ นั่นคือการกระตุ้นให้กล้วยสร้างแก๊สเอทิลีน ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่ช่วยในการสุกของผลไม้ สามารถทำได้โดย
วิธีธรรมชาติ:
  1. บ่มรวมกับผลไม้อื่น: เลือกผลไม้สุกที่ปล่อยแก๊สเอทิลีนสูง เช่น แอปเปิ้ล มะม่วงสุก หรืออะโวคาโด นำมาใส่ถุงกระดาษหรือกล่องปิดฝา พร้อมกับกล้วยหอมคาเวนดิชที่ยังเขียว แก๊สเอทิลีนจากผลไม้สุกจะช่วยเร่งการสุกของกล้วยหอม
  2. บ่มในถุงกระดาษ: ใส่กล้วยหอมคาเวนดิชที่ยังเขียวลงในถุงกระดาษ พับปากถุงหลวมๆ แล้วเก็บไว้ในอุณหภูมิห้อง ถุงกระดาษจะช่วยกักเก็บแก๊สเอทิลีนที่กล้วยปล่อยออกมา ทำให้สุกเร็วขึ้น
วิธีเร่ง
  • ใช้น้ำยาเร่งสุก: หาซื้อน้ำยาเร่งสุกสำหรับผลไม้ ซึ่งมีส่วนผสมของเอทธีฟอน (Ethephon) ที่ช่วยกระตุ้นการสร้างแก๊สเอทิลีน ผสมน้ำยาตามอัตราส่วนที่ระบุบนฉลาก แช่กล้วยหอมคาเวนดิชลงในน้ำยาประมาณ 1-2 นาที นำขึ้นผึ่งลมให้แห้ง แล้วเก็บไว้ในอุณหภูมิห้อง กล้วยหอมจะสุกเร็วขึ้นภายใน 1-2 วัน
เคล็ดลับ:
  • เลือกกล้วยหอมที่เริ่มมีสีเขียวอมเหลืองเล็กน้อย จะทำให้บ่มสุกได้ผลดีกว่า
  • อย่าบ่มกล้วยในตู้เย็น เพราะจะทำให้กล้วยสุกช้าและอาจทำให้เนื้อกล้วยเละ
  • อุณหภูมิที่เหมาะสมสำหรับการบ่มกล้วยคือ ประมาณ 18-24 องศาเซลเซียส
  • ตรวจสอบกล้วยเป็นประจำ เมื่อกล้วยมีสีเหลืองตามต้องการแล้ว ควรนำออกจากถุงหรือแยกออกจากผลไม้ชนิดอื่น
ข้อควรระวัง:
  • การบ่มกล้วยเป็นเพียงการเร่งกระบวนการสุกตามธรรมชาติเท่านั้น
  • การใช้สารเร่งสุก ควรใช้ในปริมาณที่เหมาะสม

ข้อมูลของกล้วยหอม คาเวนดิช

 

ข้อมูลของกล้วยหอม คาเวนดิช
ชื่อสามัญ: กล้วยหอม (Cavendish Banana)
ชื่อวิทยาศาสตร์: Musa acuminata (AAA Group) 'Cavendish'
ลักษณะ:
  • ลำต้น: เป็นพืชล้มลุกขนาดใหญ่ มีลำต้นเทียมสูง 2.5-4 เมตร ประกอบจากกาบใบที่เรียงซ้อนกันแน่น
  • ใบ: มีขนาดใหญ่ รูปขอบขนาน ปลายใบมน โคนใบสอบ ขอบใบเรียบ แผ่นใบหนา สีเขียวเข้ม
  • ดอก: ออกดอกเป็นช่อที่ปลายยอด เรียกว่า ปลี ดอกย่อยมีขนาดใหญ่ สีเหลือง มีใบประดับสีม่วงแดงหุ้มอยู่
  • ผล: เป็นผลแบบมีเนื้อหลายเมล็ด ออกเป็นหวี หวีหนึ่งมีประมาณ 10-15 ผล ผลรูปยาวรี ปลายผลมน ผิวเรียบเป็นมัน สีเขียว เมื่อสุกเปลี่ยนเป็นสีเหลือง เนื้อในมีสีครีม รสชาติหวาน กลิ่นหอม
แหล่งกำเนิด: เอเชียตะวันออกเฉียงใต้
การขยายพันธุ์: ส่วนใหญ่ใช้วิธีการแยกหน่อ
การปลูกและดูแลรักษา:
  • ดิน: ชอบดินร่วนซุย ระบายน้ำดี มีอินทรียวัตถุสูง pH 6-7
  • แสงแดด: ต้องการแสงแดดจัดตลอดวัน
  • น้ำ: ต้องการน้ำปานกลาง ไม่ทนต่อน้ำท่วมขัง
  • ปุ๋ย: ควรใส่ปุ๋ยคอกและปุ๋ยเคมีอย่างสม่ำเสมอ
  • โรคและแมลง: โรคที่สำคัญ เช่น โรคตายพราย โรคใบไหม้ ส่วนแมลงที่สำคัญ เช่น หนอนกอ เพลี้ยแป้ง
ประโยชน์:
  • ผล: รับประทานเป็นผลไม้สด นำไปแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆ เช่น กล้วยตาก กล้วยเชื่อม กล้วยฉาบ
  • ใบ: ใช้ห่ออาหาร นึ่งขนม
  • กาบกล้วย: ใช้ทำเชือก ทำเป็นภาชนะใส่อาหาร
ข้อควรระวัง:
  • ผลกล้วยดิบมีสารแทนนิน อาจทำให้ท้องผูกได้
  • กล้วยหอมพันธุ์คาเวนดิช อ่อนแอต่อโรคตายพรายมาก
ข้อเท็จจริงที่น่าสนใจ:
  • กล้วยหอมคาเวนดิช เป็นกล้วยพันธุ์ที่นิยมบริโภคมากที่สุดในโลก
  • เดิมทีกล้วยหอมที่นิยมปลูกคือพันธุ์ Gros Michel แต่ถูกทำลายด้วยโรคตายพราย จึงเปลี่ยนมาปลูกพันธุ์คาเวนดิชแทน

วันพุธที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2567

ปูนมาล แร่ยิบซั่ม ปูนขาว ปูนโดโลไมท์

 ปูนมาล แร่ยิบซั่ม ปูนขาว ปูนโดโลไมท์


วัสดุปรับปรุงดินที่กล่าวมา ล้วนแต่มีประโยชน์ต่อการปรับปรุงดินทั้งสิ้น แต่มีคุณสมบัติ และให้ธาตุอาหารแตกต่างกันไป การเลือกใช้จึงขึ้นอยู่กับสภาพดินและความต้องการของพืชเป็นหลักค่ะ

มาวิเคราะห์แต่ละชนิดกัน:

ปูนมาร์ล (Agricultural lime):

  • ธาตุอาหาร: แคลเซียม (Ca) และ แมกนีเซียม (Mg) ในรูปที่ละลายน้ำได้
  • คุณสมบัติ: ปรับสภาพดินเปรี้ยว ให้มีค่า pH สูงขึ้น
  • ข้อดี: ราคาถูก หาซื้อง่าย
  • ข้อเสีย: ออกฤทธิ์ช้า ต้องใช้ระยะเวลาในการปรับสภาพดิน

ปูนยิปซัม (Gypsum):

  • ธาตุอาหาร: แคลเซียม (Ca) และ กำมะถัน (S)
  • คุณสมบัติ: ปรับปรุงโครงสร้างดินเหนียว ช่วยระบายน้ำและอากาศ
  • ข้อดี: ช่วยแก้ปัญหาดินเค็ม
  • ข้อเสีย: ไม่ช่วยปรับสภาพดินเปรี้ยว

ปูนขาว (Quicklime):

  • ธาตุอาหาร: แคลเซียม (Ca)
  • คุณสมบัติ: ปรับสภาพดินเปรี้ยว ให้มีค่า pH สูงขึ้น
  • ข้อดี: ออกฤทธิ์เร็วกว่าปูนมาร์ล
  • ข้อเสีย: ราคาแพงกว่าปูนมาร์ล ต้องระวังอันตรายในการใช้

ปูนโดโลไมท์ (Dolomite):

  • ธาตุอาหาร: แคลเซียม (Ca) และ แมกนีเซียม (Mg)
  • คุณสมบัติ: ปรับสภาพดินเปรี้ยว ให้มีค่า pH สูงขึ้น
  • ข้อดี: ให้ทั้งแคลเซียมและแมกนีเซียม
  • ข้อเสีย: ออกฤทธิ์ช้า

สรุป:

  • หากดินเป็นกรดจัด และต้องการแคลเซียมและแมกนีเซียม: ปูนโดโลไมท์ เหมาะสมที่สุด
  • หากดินเป็นกรดจัด และต้องการให้ดินมี pH สูงขึ้นอย่างรวดเร็ว: ปูนขาว เหมาะสมที่สุด
  • หากดินเป็นดินเหนียว ระบายน้ำไม่ดี: ปูนยิปซัม เหมาะสมที่สุด
  • หากต้องการประหยัดต้นทุน และไม่รีบร้อน: ปูนมาร์ล เป็นทางเลือกที่ดี

คำแนะนำเพิ่มเติม:

  • ควรตรวจสอบสภาพดิน (pH) และปรึกษาเจ้าหน้าที่ส่งเสริมการเกษตร เพื่อเลือกชนิดและปริมาณการใช้วัสดุปรับปรุงดินที่เหมาะสม
  • ไม่ควรใส่ปูนขาว ปูนโดโลไมท์ พร้อมกับปุ๋ย เพราะอาจทำให้ธาตุอาหารบางชนิดจับตัวกัน เป็นผลเสียต่อพืชได้



.............................
.............................

เห็ดกระถินพิมานรักษามะเร็ง

พ่นควันไล่ผึ้ง

รักษาเก๊าท์

โกฏจุฬาลัมพาแห้ง