วันศุกร์ที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2567

มะนาวใบอ่อนหงิกงอ

 มะนาวใบอ่อนหงิกงอ เป็นอาการที่น่าเป็นห่วงสำหรับชาวสวน 🍋😔 สาเหตุเกิดได้จากหลายปัจจัยครับ ลองมาวิเคราะห์ไปพร้อมกัน 🔎

1. โรคพืช:

โรคกรีนิง (Huanglongbing หรือ HLB): โรคร้ายแรง เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย มักพบในมะนาว ส้ม

อาการ: ใบอ่อนมีจุดเหลือง ซีด ผิดรูป หงิกงอ คล้ายอาการขาดธาตุอาหาร ใบแข็ง กรอบ แตกง่าย ผลเล็ก ผิดรูป

การแพร่ระบาด: เพลี้ยจักจั่น

การป้องกัน: ใช้พันธุ์ทนโรค กำจัดต้นที่เป็นโรค ควบคุมเพลี้ยจักจั่น

โรคใบหงิกจากเชื้อไวรัส: มีหลายชนิด ทำให้ใบ และ ยอด ผิดรูป

อาการ: ใบอ่อนหงิกงอ เป็นคลื่น ใบด่าง

การแพร่ระบาด: เพลี้ยอ่อน

การป้องกัน: กำจัดวัชพืช ควบคุมเพลี้ยอ่อน

2. แมลงศัตรูพืช:

เพลี้ยไฟ: ดูดกินน้ำจากใบอ่อน

อาการ: ใบหงิกงอ ขอบใบม้วนงอ มีรอยจุดสีน้ำเงิน

การป้องกัน: ใช้กับดักกาวเหนียว ฉีดพ่นน้ำ

3. การขาดธาตุอาหาร:

ธาตุแคลเซียม: ใบอ่อนหงิกงอ ขอบใบไหม้

ธาตุสังกะสี: ใบเล็กลง เรียว เป็นกระจุก

ธาตุโบรอน: ยอดอ่อนชะงัก ใบอ่อนหงิกงอ

4. สภาพแวดล้อม:

อากาศร้อนจัด: อาจทำให้ใบอ่อนไหม้ และ หงิกงอได้

ความชื้นต่ำ:

น้ำท่วมขัง: รากเน่า ดูดซึมธาตุอาหารได้น้อย

วิธีแก้ไขเบื้องต้น:

ตรวจสอบอาการอย่างละเอียด: สังเกต ลักษณะอาการ ชนิดของแมลง

ตัดแต่งส่วนที่เป็นโรค: นำไปเผาทำลาย

ปรับปรุงดิน: ใส่ปุ๋ยคอก ปุ๋ยหมัก

ให้น้ำอย่างเหมาะสม:

ควบคุมศัตรูพืช: ใช้สารชีวภัณฑ์ หรือ สารเคมี อย่างถูกวิธี

ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ: ติดต่อกรมวิชาการเกษตร หรือ ร้านขายอุปกรณ์การเกษตร

การป้องกัน:

เลือกพันธุ์ที่แข็งแรง:

ดูแลรักษาสวนให้สะอาด: กำจัดวัชพืช

บำรุงดินให้สมบูรณ์:

ตรวจเช็คสวนเป็นประจำ:

หวังว่าข้อมูลนี้จะเป็นประโยชน์นะครับ ขอให้มะนาวของคุณกลับมาแข็งแรง ใบสวย ให้ผลผลิตดี เร็วๆ นี้นะครับ 🌳🍋💪




ปลูกมะเขีอยาว 100 ต้น ได้กำไรเท่าไร

 มาคำนวณต้นทุนปลูกมะเขือยาวแบบลงดิน 100 ต้น กันครับ

ต้นทุนแบ่งเป็น 2 ส่วนหลักๆ

1. ต้นทุนคงที่ (ใช้ได้นานหลายรุ่นปลูก):

  • ค่าเตรียมดิน: (ไถ, ตาก, ยกร่อง) ประมาณ 500-1,000 บาท (ขึ้นกับขนาดพื้นที่, จ้างแรงงานหรือไม่)
  • ค่าระบบน้ำ: (สายยาง, หัวฉีด, ถ้ามี) ประมาณ 500-1,500 บาท
  • อุปกรณ์อื่นๆ: (จอบ, เสียม, บัวรดน้ำ, ถ้ายังไม่มี) ประมาณ 500 บาท

รวมต้นทุนคงที่: ประมาณ 1,500 - 3,000 บาท (เฉลี่ยแล้วหารเป็นต้นทุนต่อรุ่นได้อีก)


2. ต้นทุนผันแปร (ใช้ทุกครั้งที่ปลูก):

  • ค่าเมล็ดพันธุ์: 1 ซอง (ประมาณ 300-500 เมล็ด) ราคา 30-50 บาท ปลูก 100 ต้น ใช้ไม่ถึงซอง คิดเป็นค่าเมล็ด ประมาณ 10-20 บาท
  • ค่าต้นกล้า: (ถ้าไม่เพาะเอง) ต้นละ 3-5 บาท x 100 ต้น = 300-500 บาท
  • ค่าปุ๋ย:
  • ปุ๋ยคอก/ปุ๋ยหมัก: ประมาณ 200-300 บาท
  • ปุ๋ยเคมี: ประมาณ 300-500 บาท
  • ค่ายาป้องกันโรคและแมลง: ประมาณ 300-500 บาท
  • ค่าแรงงาน: (ถ้าจ้าง) ขึ้นอยู่กับ ระยะเวลา และ ค่าแรง ในแต่ละพื้นที่

รวมต้นทุนผันแปร: ประมาณ 1,110 - 1,820 บาท

รวมต้นทุนทั้งหมด (100 ต้น):

  • ต่ำสุด: ประมาณ 2,610 บาท
  • สูงสุด: ประมาณ 4,820 บาท

ระยะเวลาเก็บเกี่ยว:

  • มะเขือยาว ใช้เวลาประมาณ 2-3 เดือน จึงจะเก็บเกี่ยวผลผลิตได้

ปัจจัยที่ส่งผลต่อต้นทุน:

  • สายพันธุ์: บางสายพันธุ์ ราคาเมล็ดพันธุ์แพง
  • ฤดูกาล: ปลูกนอกฤดู ต้นทุนสูงกว่า (ระบบน้ำ, โรงเรือน)
  • การดูแลรักษา: ยิ่งดูแลดี ผลผลิตมาก แต่ต้นทุนก็สูงขึ้น
  • ราคาปัจจัยการผลิต: ราคาปุ๋ย ยา อาจมีการเปลี่ยนแปลง

ข้อแนะนำ:

  • วางแผนการปลูก: เลือกช่วงเวลา และ สายพันธุ์ ที่เหมาะสม
  • ลดต้นทุน: เช่น เพาะเมล็ดเอง ใช้ปุ๋ยอินทรีย์
  • เพิ่มผลผลิต: ดูแลรักษาอย่างดี ป้องกันโรค และ แมลง

หมายเหตุ: ราคาต้นทุนเป็นเพียงการประมาณการ ราคาจริงอาจแตกต่างกันไป ควรสำรวจราคาปัจจัยการผลิต ในพื้นที่ เพื่อการคำนวณที่แม่นยำยิ่งขึ้น


 ...............................

100 ตัน จะเก็บเกี่ยวได้กี่โลจนกว่าจะหมดอายุ ถ้าโลละ 15 บาท จะได้กำไรเท่าไร

มาคำนวณผลผลิตและกำไรจากการปลูกมะเขือยาว 100 ต้นกันครับ

สมมติฐาน:

1 ต้น ให้ผลผลิตเฉลี่ย: 3 กิโลกรัม/รุ่น (อาจมากน้อยขึ้นอยู่กับสายพันธุ์ และการดูแล)

  • จำนวนรุ่นที่เก็บเกี่ยว: มะเขือยาวสามารถให้ผลผลิตได้หลายรุ่น สมมุติเก็บเกี่ยว 3 รุ่น/ต้น (ประมาณ 6-9 เดือน ก่อนต้นโทรม)
  • ราคาขาย: 15 บาท/กิโลกรัม

การคำนวณ:

  • ผลผลิตทั้งหมด: 100 ต้น x 3 กก./ต้น/รุ่น x 3 รุ่น = 900 กิโลกรัม
  • รายได้: 900 กก. x 15 บาท/กก. = 13,500 บาท
  • ต้นทุน: ใช้ค่าเฉลี่ยจากที่คำนวณก่อนหน้า ประมาณ 3,710 บาท
  • กำไร: 13,500 (รายได้) - 3,710 (ต้นทุน) = 9,790 บาท

ดังนั้น คาดการณ์กำไรจากการปลูกมะเขือยาว 100 ต้น ขายกิโลกรัมละ 15 บาท จะอยู่ที่ประมาณ 9,790 บาท

ข้อควรพิจารณา:

  • ผลผลิต: เป็นเพียงการประมาณ ผลผลิตจริงอาจมากน้อย ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง
  • ราคาขาย: ราคาขายจริงอาจผันผวน
  • ต้นทุน: อาจมีต้นทุนแฝง หรือ ค่าใช้จ่ายอื่นๆ ที่ไม่ได้รวมไว้
  • ความเสี่ยง: การปลูกพืชมีความเสี่ยง เช่น โรค แมลง ภัยธรรมชาติ

ข้อแนะนำ:

  • สำรวจตลาด: ก่อนปลูก ควรสำรวจตลาด และ ราคาขาย เพื่อประเมินความคุ้มค่า
  • ลดต้นทุน: เช่น เพาะกล้าเอง ใช้ปุ๋ยอินทรีย์
  • เพิ่มผลผลิต: ดูแลรักษาอย่างดี ป้องกันโรค และ แมลง
  • กระจายความเสี่ยง: ปลูกพืชหลายชนิด

ขอให้ประสบความสำเร็จกับการปลูกมะเขือยาวนะครับ! 😊🍆💰



.


ปลูกมะเขือยาวแบบละเอียด

  ปลูกมะเขือยาวแบบละเอียด สู่ผลผลิตงาม 🍆✨

มะเขือยาวเป็นพืชผักที่ปลูกง่าย ดูแลไม่ยาก ลองมาดูวิธีปลูกแบบละเอียด เพื่อให้ได้ผลผลิตงาม คุ้มค่ากันครับ!

1. การเตรียมดินและแปลงปลูก:

ดิน: มะเขือยาวชอบดินร่วนปนทราย ระบายน้ำดี pH 6-7

ปรับปรุงดิน: ผสมปุ๋ยคอก ปุ๋ยหมัก หรือ แกลบดำ เพื่อเพิ่มธาตุอาหาร

แปลงปลูก:

ยกร่อง: สูง 20-30 ซม. กว้าง 1 เมตร ระยะห่างระหว่างร่อง 1 เมตร

คลุมดิน: ด้วยฟางข้าว หรือ แกลบ เพื่อรักษาความชื้น และ ป้องกันวัชพืช

2. การเพาะกล้า:

เตรียมวัสดุเพาะ: ใช้ดินผสม หรือ พีทมอส

หยอดเมล็ด: ลึก 1 ซม. รดน้ำให้ชุ่ม

ดูแล: วางในที่ร่มรำไร รดน้ำเช้า-เย็น

ระยะเวลา: ประมาณ 7-10 วัน เมล็ดจะงอก

3. การย้ายปลูก:

อายุกล้า: ประมาณ 20-25 วัน หรือ มีใบจริง 3-4 ใบ

วิธีปลูก: ขุดหลุม กว้าง 10-15 ซม. ลึก 10 ซม.

ระยะปลูก: ระยะห่างระหว่างต้น 50-70 ซม.

4. การดูแลรักษา:

การให้น้ำ: รดน้ำ เช้า-เย็น (ยกเว้นวันฝนตก)

การใส่ปุ๋ย:

ปุ๋ยคอก/ปุ๋ยหมัก: โรยรอบโคนต้น ทุก 15 วัน

ปุ๋ยเคมี: สูตร 15-15-15 หรือ 16-16-8 ทุก 15-20 วัน

การพรวนดิน: กำจัดวัชพืช และ พรวนดินรอบโคนต้น เพื่อให้ดินโปร่ง

การพยุงต้น: ใช้ไม้ หรือ เชือก พยุงต้น ป้องกันต้นล้ม

การป้องกันโรคและแมลง:

โรค: โรครากเน่า โรคใบจุด

ใช้สารชีวภัณฑ์ หรือ ยาป้องกันกำจัดโรคพืช

แมลง: เพลี้ยไฟ หนอนเจาะผล

ใช้สารกำจัดแมลง หรือ กับดักแมลง

5. การเก็บเกี่ยว:

อายุเก็บเกี่ยว: ประมาณ 60-75 วัน หลังย้ายปลูก

ลักษณะ: ผลมีขนาดใหญ่ เต็มที่ สีผิวเข้ม เป็นมัน

วิธีเก็บ: ใช้มีด หรือ กรรไกร ตัดขั้วผล

เคล็ดลับเพิ่มเติม:

เลือกพันธุ์มะเขือยาวที่เหมาะสม: เช่น พันธุ์เจ้าพระยา พันธุ์เรือใบ

ปลูกในช่วงฤดูที่เหมาะสม: ฤดูหนาว มะเขือยาวจะให้ผลผลิตดี

หมั่นสังเกต: ต้นมะเขือยาว และ แก้ไขปัญหา โรค และ แมลง ทันที

หวังว่าข้อมูลนี้ จะเป็นประโยชน์ต่อการปลูกมะเขือยาวของคุณนะครับ 

การถ่ายน้ำและเติมน้ำในบ่อเลี้ยงหอยขม

  การถ่ายน้ำและเติมน้ำในบ่อเลี้ยงหอยขม เป็นสิ่งสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม เพื่อสุขภาพที่ดีของหอย และ ป้องกันน้ำเน่าเสีย

วิธีการถ่ายน้ำ:

ถ่ายน้ำบางส่วน: ทุกๆ 7-14 วัน หรือ เมื่อน้ำเริ่มขุ่น โดยดูดน้ำออกประมาณ 30-50%

ถ่ายน้ำทั้งหมด: ทำเดือนละครั้ง หรือ เมื่อน้ำสกปรกมาก

วิธีการ: ตักหอยออก > ดูดน้ำออกให้หมด > ล้างทำความสะอาดบ่อ > ใส่น้ำใหม่ > พักน้ำ 1 คืน > ปล่อยหอยลงไปใหม่

ข้อควรระวัง:

ใช้อุปกรณ์ที่สะอาด

อย่าให้หอยได้รับอันตราย

ระวังน้ำที่ถ่ายออก อย่าให้ไปทำลายแหล่งน้ำธรรมชาติ

วิธีการเติมน้ำ:

เติมน้ำเมื่อระดับน้ำลดลง: ระเหย หรือ ซึม

ใช้น้ำสะอาด: น้ำประปาพักค้างคืน หรือ น้ำบาดาล

เติมน้ำอย่างช้าๆ: ป้องกันตะกอนฟุ้งกระจาย

ตรวจสอบอุณหภูมิ: น้ำใหม่ ไม่ควรต่างจากน้ำเดิมมากเกินไป

ข้อแนะนำเพิ่มเติม:

สังเกตลักษณะน้ำ: น้ำที่ดี ควรใส ไม่มีกลิ่นเหม็น

ควบคุมปริมาณอาหาร: อย่าให้อาหารมากเกินไป

เลี้ยงในปริมาณที่เหมาะสม: อย่าเลี้ยงหนาแน่นเกินไป

ใส่ใจเรื่องความสะอาด: ทำความสะอาดบ่อ และ อุปกรณ์เป็นประจำ

หวังว่าข้อมูลนี้จะเป็นประโยชน์ต่อการเลี้ยงหอยขมของคุณนะครับ! 😊





อาหารสำหรับหอยขม

  อาหารสำหรับหอยขม

 

หอยขมเป็นสัตว์กินพืช และ ซากพืชซากสัตว์ เป็นหลัก ดังนั้นอาหารสำหรับหอยขมจึงหาได้ง่าย และ มีราคาถูก ลองดูตัวอย่างอาหาร และ วิธีการให้อาหารหอยขม ด้านล่างนี้ครับ

1. อาหารจากธรรมชาติ:

สาหร่าย: เช่น สาหร่ายไส้ไก่ สาหร่ายหางกระรอก สาหร่ายฉัตร เป็นอาหารหลักของหอยขม ช่วยให้หอยเจริญเติบโตเร็ว

ผักตบชวา: เป็นทั้งอาหาร และ ที่อยู่อาศัย

เศษผัก: เช่น ใบผักบุ้ง ใบตำลึง ใบมันเทศ

เปลือกผลไม้: เช่น เปลือกแตงโม เปลือกกล้วย

รำข้าว: เป็นแหล่งคาร์โบไฮเดรต

2. อาหารเสริม:

อาหารปลา: ชนิดเม็ดเล็ก หรือ แบบผง เป็นแหล่งโปรตีน ช่วยให้หอยโตเร็ว

อาหารไก่เล็ก: บดให้ละเอียด

อาหารเม็ดสำเร็จรูป: มีขายตามร้านขายอาหารสัตว์

วิธีการให้อาหาร:

ให้อาหารวันละครั้ง: ในช่วงเย็น หรือ ค่ำ

ให้ในปริมาณที่เหมาะสม: หอยกินหมดภายใน 1-2 วัน

กระจายอาหารให้ทั่วถึง:

อย่าให้อาหารมากเกินไป: จะทำให้น้ำเน่าเสีย

หมั่นสังเกต: ปรับปริมาณอาหารตามความเหมาะสม

ข้อแนะนำ:

ควรล้างอาหารให้สะอาดก่อนนำไปให้หอยกิน เพื่อป้องกันน้ำเน่าเสีย

สามารถผสมอาหารหลายชนิดเข้าด้วยกันได้

หมั่นเปลี่ยนถ่ายน้ำ เพื่อสุขอนามัยที่ดี

หวังว่าข้อมูลนี้จะเป็นประโยชน์สำหรับการเลี้ยงหอยขมของคุณนะครับ! 😊




การทำบ่อปูนสำหรับเลี้ยงหอย

 การทำบ่อปูนสำหรับเลี้ยงหอย

บ่อปูนเป็นอีกทางเลือกที่ดีสำหรับการเลี้ยงหอยขม เพราะแข็งแรงทนทาน ควบคุมสภาพแวดล้อมได้ง่าย และทำความสะอาดสะดวก ลองดูขั้นตอนการสร้างบ่อปูนแบบง่ายๆ ด้านล่างนี้ครับ

1. การเลือกทำเล:

แสงแดด: เลือกพื้นที่ที่มีแดดรำไร หรือมีร่มเงา เพื่อป้องกันน้ำร้อนเกินไป

แหล่งน้ำ: ใกล้แหล่งน้ำสะอาด เพื่อสะดวกต่อการเปลี่ยนถ่ายน้ำ

การระบายน้ำ: พื้นที่ที่ระบายน้ำได้ดี ป้องกันน้ำท่วมขัง

ปลอดภัยจากศัตรูพืช: อยู่ห่างจากแหล่งที่อยู่อาศัยของสัตว์รบกวน เช่น นก หนู

2. การออกแบบและขนาด:

ขนาด: ขึ้นอยู่กับปริมาณที่ต้องการเลี้ยง เริ่มต้นที่ 1x2 เมตร ลึก 0.5-0.8 เมตร ก็เพียงพอ

รูปทรง: สี่เหลี่ยมผืนผ้า เป็นรูปทรงที่ทำความสะอาดง่าย

ช่องระบายน้ำ: ควรมีช่องระบายน้ำ พร้อมตะแกรง เพื่อป้องกันหอยไหลออกไป และ สะดวกต่อการถ่ายน้ำ

ค parapet: ควรมีขอบบ่อสูงประมาณ 20-30 ซม. ป้องกันหอยปีนออก

3. วัสดุและอุปกรณ์:

ปูนซีเมนต์: ผสมกับทราย และ หิน ในอัตราส่วน 1:2:3

เหล็กเส้น: ขนาด 3 หุน หรือ 4 หุน

อิฐบล็อก: สำหรับก่อขอบบ่อ

ทราย หิน: สำหรับผสมปูน

อุปกรณ์: จอบ เสียม รถเข็น ถัง เกียง ระดับน้ำ

4. ขั้นตอนการก่อสร้าง:

ปรับพื้นที่: ปรับพื้นที่ให้เรียบเสมอกัน

วางผัง: กำหนดขนาด และ รูปทรงของบ่อ

เทพื้น: เทคอนกรีต หนา 5-10 ซม. เสริมเหล็ก

ก่อผนัง: ก่ออิฐบล็อก หรือ เทปูน ตามขนาดที่ต้องการ

ฉาบผิว: ฉาบผิวด้วยปูน ให้เรียบ

ทิ้งให้แห้ง: อย่างน้อย 7-14 วัน

ทดสอบรั่วซึม: ใส่น้ำ ทิ้งไว้ 1 คืน

ล้างทำความสะอาด: ล้างบ่อด้วยน้ำสะอาด 2-3 รอบ

5. การเตรียมบ่อ:

ใส่ดิน: ใส่ดินเหนียว ที่สะอาด หนา 10-20 ซม.

ปลูกพืชน้ำ: เช่น ผักตบชวา สาหร่าย

พักน้ำ: ใส่น้ำ พักไว้ 2-3 วัน

ปล่อยหอย: พร้อมเลี้ยงได้เลย

ข้อแนะนำ:

ศึกษาข้อมูล และ ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ

เลือกใช้วัสดุที่มีคุณภาพ

ก่อสร้างอย่างพิถีพิถัน เพื่อความแข็งแรง และ ป้องกันการรั่วซึม

ดูแลรักษาความสะอาด

หวังว่าข้อมูลนี้จะเป็นประโยชน์ต่อการสร้างบ่อปูนเลี้ยงหอยของคุณนะครับ! 😄






วิธีการเลี้ยงหอยขมแบบง่ายๆ ในบ่อปูน

 วิธีการเลี้ยงหอยขมแบบง่ายๆ ในบ่อปูน/บ่อดิน/กะละมัง

การเลี้ยงหอยขมเป็นอาชีพเสริมที่น่าสนใจ ลงทุนน้อย ดูแลง่าย และสามารถทำได้เกือบทุกพื้นที่ ลองดูวิธีการเลี้ยงแบบง่ายๆ ด้านล่างนี้ครับ:

1. เตรียมภาชนะเลี้ยง:

บ่อปูน/บ่อดิน: ขนาด 1x2 เมตร ลึก 50-80 ซม. ควรมีร่มเงา

กะละมัง/ถัง: ขนาด 30-50 ลิตร วางในที่ร่ม

สิ่งสำคัญ: ทุกแบบต้องไม่ให้น้ำรั่วซึม และ มีช่องระบายน้ำ

2. เตรียมน้ำและวัสดุ:

น้ำ: ใช้น้ำสะอาด พักน้ำประปา 1 คืน หรือ น้ำบาดาล

วัสดุ: ดินเหนียว 10-20 ซม. ผักตบชวา หรือ สาหร่าย (ช่วยเรื่องอาหาร และ ที่อยู่อาศัย)

3. เลือกพันธุ์หอยขม:

หาซื้อได้จาก: ตลาด หรือ ฟาร์มเพาะพันธุ์

ขนาดที่เหมาะสม: ขนาดเล็บนิ้วก้อย ถึง เหรียญบาท

ปริมาณ: 1 กิโลกรัม ต่อ พื้นที่ 1 ตารางเมตร

4. การให้อาหาร:

อาหาร: อาหารปลา รำข้าว ผักใบเขียว

ปริมาณ: ให้วันละครั้ง ในปริมาณที่หอยกินหมด (ไม่ควรมีอาหารเหลือตกค้าง)

5. การดูแล:

เปลี่ยนถ่ายน้ำ: ทุก 7-14 วัน หรือ เมื่อน้ำขุ่น

ตรวจสอบศัตรูพืช: เช่น นก หนู

รักษาความสะอาด: กำจัดเศษอาหาร และ สิ่งสกปรก

6. การเก็บเกี่ยว:

ระยะเวลา: ประมาณ 2-3 เดือน หลังปล่อย

วิธีการ: ใช้สวิง หรือ ตาข่าย ช้อนขึ้นมา

ข้อแนะนำเพิ่มเติม:

เลี้ยงในที่ร่ม: หอยขมชอบน้ำเย็น

อย่าให้น้ำแห้ง: ควรมีระดับน้ำอย่างน้อย 15-20 ซม.

หลีกเลี่ยงสารเคมี: เช่น ยาฆ่าแมลง

ข้อดีของการเลี้ยงหอยขม:

ลงทุนน้อย ดูแลง่าย

เป็นแหล่งอาหาร สร้างรายได้เสริม

ช่วยกำจัดเศษอาหาร และ อินทรียวัตถุ

ลองนำไปปรับใช้ดูนะครับ ขอให้สนุกกับการเลี้ยงหอยขม! 😊



วันพฤหัสบดีที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2567

สถานการณ์การทำนาของไทยในปัจจุบัน

 สถานการณ์การทำนาของไทยในปัจจุบัน ต้องบอกว่ามีความท้าทายมากขึ้น เกษตรกรไทยต้องเผชิญกับปัญหาหลายด้าน แต่ในขณะเดียวกันก็มีโอกาสใหม่ๆ เกิดขึ้น เรามาเจาะลึกกันเป็นข้อๆ ค่ะ

ความท้าทาย
  • ต้นทุนการผลิตสูง: ราคาปุ๋ย ยา และแรงงานสูงขึ้น ส่งผลกำไรลดลง
  • ภัยธรรมชาติ: ภัยแล้ง น้ำท่วม โรคระบาด สร้างความเสียหายอย่างมาก
  • ราคาข้าวผันผวน: ราคาข้าวในตลาดโลก ไม่แน่นอน
  • ขาดแคลนแรงงาน: คนรุ่นใหม่ไม่ทำนา แรงงานสูงอายุ
  • การเข้าถึงเทคโนโลยี: เกษตรกรส่วนใหญ่ยังเข้าถึงเทคโนโลยี และนวัตกรรมใหม่ๆ ได้น้อย
  • โอกาส
  • ความต้องการบริโภคข้าวยังมีอยู่: ข้าวเป็นอาหารหลักของคนไทยและคนทั่วโลก
  • นโยบายภาบาล: มีนโยบายช่วยเหลือเกษตรกร เช่น ประกันรายได้
  • เทคโนโลยีและนวัตกรรม: เช่น เกษตรแม่นยำ ลดต้นทุน เพิ่มผลผลิต
  • ตลาดข้าวเฉพาะกลุ่ม: เช่น ข้าวออร์แกนิก ข้าวเพื่อสุขภาพ มีราคาสูง
  • การแปรรูปเพิ่มมูลค่า: เช่น ผลิตภัณฑ์จากข้าว สร้างรายได้เพิ่ม
แนวโน้มในอนาคต
  • การทำนาแบบผสมผสาน: เช่น ทำนา ปลูกพืช เลี้ยงสัตว์ ลดความเสี่ยง
  • การใช้เทคโนโลยี: เช่น โดรน ระบบน้ำอัจฉริยะ
  • การรวมกลุ่ม: เช่น สหกรณ์ กลุ่มเกษตรกร เพิ่มอำนาจต่อรอง
  • การพัฒนาสายพันธุ์ข้าว: เช่น ทนแล้ง ต้านทานโรค ให้ผลผลิตสูง
สรุป
  • การทำนาของไทย ยังมีความสำคัญ แม้จะเผชิญความท้าทาย แต่ก็มีโอกาส หากเกษตรกรปรับตัว ใช้เทคโนโลยี รวมกลุ่ม และพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง เชื่อว่าจะสามารถยืนหยัด และเติบโตได้อย่างยั่งยืน

การปัดเกสรตัวผู้จากดอกกล้วยต้นพ่อพันธุ์

 การปัดเกสรตัวผู้จากดอกกล้วยต้นพ่อพันธุ์ เป็นขั้นตอนที่สำคัญมาก ในการผสมเกสรกล้วย เพื่อให้ได้ลูกผสมที่มีลักษณะตามต้องการ

วิธีสังเกตเกสรตัวผู้ของกล้วย
  • สังเกตดอกกล้วยที่บาน: ดอกกล้วยจะทยอยบานจากโคนช่อไปปลายช่อ โดยดอกที่อยู่ด้านบนจะเป็นดอกตัวเมีย ส่วนดอกที่อยู่ด้านล่างจะเป็นดอกตัวผู้
  • สังเกตกลีบดอก: ดอกตัวผู้ที่พร้อมผสมเกสร จะมีกลีบดอกสีเหลือง หรือสีครีม บานออกเล็กน้อย
  • สังเกตเกสรตัวผู้: อยู่ภายในกลีบดอก มีลักษณะเป็นเส้นเล็กๆ สีเหลืองครีม รวมกันเป็นกระจุก
วิธีปัดเกสรตัวผู้
  • ใช้พู่กันขนาดเล็ก ที่สะอาด และแห้ง
  • ค่อยๆ แตะพู่กันไปที่เกสรตัวผู้ เบาๆ
  • จะเห็นละอองเกสรติดอยู่บนพู่กัน
ข้อแนะนำ
  • ควรเลือกปัดเกสรตัวผู้ ในช่วงเช้า ที่อากาศเย็น และมีความชื้นสูง เพราะละอองเกสรจะฟุ้งกระจายได้ดี
  • ควรทำความสะอาดพู่กันด้วยแอลกอฮอล์ 70% ทุกครั้ง ก่อนและหลังการใช้งาน เพื่อป้องกันการปนเปื้อนของละอองเกสร
  • เมื่อปัดเกสรตัวผู้จากดอกกล้วยต้นพ่อพันธุ์ได้แล้ว ก็นำไปปัดบนเกสรตัวเมียของดอกกล้วยต้นแม่พันธุ์ได้เลย

การผสมเกสรกล้วย

  การผสมเกสรกล้วย เพื่อให้ได้ลูกผสมที่แสดงลักษณะด่าง เป็นวิธีที่ต้องใช้ความอดทนและเวลา เพราะโอกาสสำเร็จนั้นขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย และผลลัพธ์ที่ได้ก็ไม่แน่นอน

มาดูวิธีการและสิ่งที่ควรคำนึงถึงกัน

อุปกรณ์

  • พู่กันขนาดเล็ก
  • แอลกอฮอล์ 70%
  • ถุงกระดาษ หรือผ้ามุ้งบางๆ
  • เชือก
ขั้นตอน
  • เลือกต้นพ่อแม่พันธุ์:
  • เลือกต้นกล้วยที่แข็งแรง ปลอดโรค
  • หากต้องการให้ลูกผสมมีโอกาสด่างสูง ควรเลือกต้นพ่อแม่พันธุ์ที่เป็นกล้วยด่างทั้งคู่
  • หากผสมกล้วยด่างกับกล้วยธรรมดา ควรเลือกต้นพ่อแม่พันธุ์ที่มีลักษณะอื่นๆ ที่ต้องการ เช่น รสชาติ ขนาดผล ความทนทานต่อโรค
เตรียมดอกกล้วย:
  • เลือกดอกกล้วยที่บานใหม่ๆ สังเกตจากกาบปลีที่เพิ่งเริ่มเปิด
  • ใช้พู่กันที่ทำความสะอาดด้วยแอลกอฮอล์ ปัดเกสรตัวผู้จากดอกกล้วยต้นพ่อพันธุ์
  • นำเกสรตัวผู้ที่ได้ ไปปัดบนเกสรตัวเมียของดอกกล้วยต้นแม่พันธุ์ ซึ่งอยู่บริเวณโคนเกสรตัวผู้
  • ทำซ้ำหลายๆ ดอก เพื่อเพิ่มโอกาสในการติดผล
ป้องกันการผสมเกสรจากแมลง:
  • ใช้ถุงกระดาษ หรือผ้ามุ้งบางๆ หุ้มช่อดอกที่ผสมเกสรแล้ว เพื่อป้องกันแมลง นำเกสรจากต้นอื่นมาผสม
  • มัดปากถุงให้แน่นด้วยเชือก
  • ติดป้ายชื่อ ระบุวัน เดือน ปี ที่ผสมเกสร
รอผล:
  • รอจนกว่าผลกล้วยจะเติบโตเต็มที่
  • เก็บผลกล้วยที่สุกแล้ว นำเมล็ดไปเพาะพันธุ์ต่อไป
  • สังเกตลักษณะของต้นกล้า ว่าแสดงลักษณะด่างหรือไม่
สิ่งที่ควรคำนึงถึง
  • ความไม่แน่นอน: การผสมเกสร ไม่สามารถควบคุมลักษณะของลูกผสมได้ อาจได้ต้นที่ไม่แสดงลักษณะด่างเลย หรือด่างน้อยกว่าที่ต้องการ
  • ระยะเวลา: กว่าจะได้ต้นที่ตรงตามต้องการ อาจต้องใช้เวลานาน
  • ความรู้และประสบการณ์: การผสมเกสรกล้วย ต้องใช้ความรู้ และประสบการณ์ จึงจะประสบความสำเร็จได้ดี
  • แม้ว่าการผสมเกสรกล้วย เพื่อให้ได้ลูกผสมที่แสดงลักษณะด่าง จะเป็นเรื่องที่ท้าทาย แต่หากทำสำเร็จ ก็จะได้ต้นกล้วยที่มีลักษณะโดดเด่น ไม่เหมือนใคร และอาจนำไปสู่การพัฒนาสายพันธุ์ใหม่ๆ ได้ในอนาคต










การทำให้กล้วยด่าง

  การทำให้กล้วยด่างนั้นเป็นเรื่องที่ซับซ้อน และยังไม่มีวิธีที่รับประกันความสำเร็จได้ 100% รวมถึงจริยธรรมในแง่การค้าพืชที่เกิดการกลายพันธุ์จากสารเคมี

วิธีที่คนนิยมทำและเชื่อว่าได้ผลมีดังนี้
  • เพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ: วิธีนี้เป็นที่นิยมในวงการกล้วยด่าง เพราะสามารถควบคุมลักษณะทางพันธุกรรมได้ โดยนำเนื้อเยื่อจากส่วนต่างๆ ของต้นแม่พันธุ์ เช่น ปลายยอด ตาข้าง มาเพาะเลี้ยงในห้องแล็บ ภายใต้สภาพแวดล้อมที่เหมาะสม และมีการใช้สารเคมี หรือรังสี เพื่อกระตุ้นการกลายพันธุ์ ซึ่งวิธีนี้ต้องใช้ความรู้ ความชำนาญ และอุปกรณ์เฉพาะทาง จึงมักทำโดยผู้ที่มีความเชี่ยวชาญ
  • การผสมเกสร: เป็นการผสมเกสรระหว่างกล้วยพันธุ์ด่างด้วยกัน หรือผสมกับกล้วยพันธุ์ธรรมดา เพื่อให้ได้ลูกผสมที่มีโอกาสแสดงลักษณะด่างออกมา แต่การผสมเกสรแบบนี้ ไม่สามารถควบคุมลักษณะ และสีสันของลวดลายได้ อาจต้องใช้เวลานาน กว่าจะได้ต้นที่ตรงตามต้องการ
  • การขยายพันธุ์จากหน่อ: หากมีต้นแม่พันธุ์ที่เป็นกล้วยด่างอยู่แล้ว สามารถขยายพันธุ์โดยการแยกหน่อ ซึ่งหน่อที่งอกออกมาจะมีโอกาสแสดงลักษณะด่าง เหมือนต้นแม่ แต่ก็ไม่ใช่ทุกหน่อที่จะด่าง และอาจมีลวดลาย และสีสัน ที่แตกต่างจากต้นแม่ได้
สิ่งที่ควรคำนึงถึง
  • ความเสี่ยง: การทำกล้วยด่างทุกวิธี มีความเสี่ยง อาจไม่ประสบความสำเร็จ หรือได้ต้นที่ไม่ตรงตามต้องการ
  • จริยธรรม: การใช้สารเคมี หรือรังสี ในการกระตุ้นการกลายพันธุ์ อาจมีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และสุขภาพ ควรศึกษาข้อมูลให้ดีก่อน และเลือกใช้วิธีที่เหมาะสม
  • ความยั่งยืน: การเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อ เป็นวิธีที่ได้รับความนิยม แต่ก็มีข้อควรคำนึงถึง เรื่องความหลากหลายทางพันธุกรรม เพราะการผลิตต้นกล้าจำนวนมาก จากต้นแม่พันธุ์เพียงไม่กี่ต้น อาจทำให้พันธุ์กล้วยมีความอ่อนแอต่อโรค และแมลง ในอนาคตได้
สรุป: การทำกล้วยด่าง ไม่ใช่เรื่องง่าย และไม่มีวิธีที่รับประกันความสำเร็จ 100% ควรศึกษาข้อมูล และเลือกใช้วิธีที่เหมาะสม รวมถึงคำนึงถึงจริยธรรม และผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม





รู้จัก "กล้วยด่าง" ให้มากขึ้น

 รู้จัก "กล้วยด่าง" ให้มากขึ้น

"กล้วยด่าง" กำลังเป็นที่นิยมอย่างมากในหมู่คนรักต้นไม้ ไม่ใช่แค่ความสวยงามแปลกตา แต่ด้วยราคาที่สูงลิ่ว ทำให้กลายเป็นพืชเศรษฐกิจที่น่าสนใจ เรามาทำความรู้จัก "กล้วยด่าง" ให้มากขึ้นกัน

กล้วยด่างคืออะไร?

  • กล้วยด่าง คือ กล้วยที่มีลักษณะใบผิดปกติจากกล้วยทั่วไป คือมีแถบหรือจุดด่างสีต่างๆ บนใบ เช่น สีขาว ครีม เหลือง ชมพู เกิดจากความผิดปกติทางพันธุกรรม ทำให้เซลล์สร้างเม็ดสีคลอโรฟิลล์ทำงานผิดปกติ

สาเหตุของการเกิดกล้วยด่าง

  • เกิดจากพันธุกรรม ถ่ายทอดจากต้นพ่อแม่สู่ต้นลูก
  • เกิดจากการกลายพันธุ์ อาจเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ หรือเกิดจากการกระตุ้น เช่น สารเคมี รังสี
  • เกิดจากโรค บางชนิดทำให้ใบด่าง แต่ไม่ใช่ลักษณะที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรม

ทำไมกล้วยด่างถึงราคาแพง?

  • ความสวยงามแปลกตา: ลวดลายและสีสันของกล้วยด่างแต่ละต้นมีความ unique ไม่ซ้ำกัน
  • ความหายาก: กล้วยด่างบางสายพันธุ์หายาก โอกาสพบเจอในธรรมชาติต่ำ
  • ความต้องการของตลาดสูง: กระแสความนิยม ทำให้มีผู้คนต้องการซื้อสะสม

สายพันธุ์กล้วยด่างยอดนิยม

  • กล้วยแดงอินโดนีเซีย: ใบสีแดงอมม่วง
  • กล้วยน้ำว้าค่อมด่าง: ใบด่างสีขาว
  • กล้วยป่าด่างลายเสือ: ใบด่างเป็นลายคล้ายเสือ
  • กล้วยหอมทองด่าง: ใบด่างสีขาว ครีม เหลือง

การดูแลกล้วยด่าง

  • กล้วยด่างต้องการการดูแลเอาใจใส่ มากกว่ากล้วยทั่วไป
  • แสง: ต้องการแสงแดดรำไร
  • น้ำ: ควรรดน้ำสม่ำเสมอ อย่าให้แฉะ
  • ดิน: ดินร่วนซุย ระบายน้ำได้ดี
  • ปุ๋ย: ควรให้ปุ๋ยอย่างสม่ำเสมอ เพื่อบำรุงต้น

ข้อควรระวัง

  • โรคและแมลง: กล้วยด่างอ่อนแอต่อโรคและแมลง ควรหมั่นตรวจสอบ
ราคา: ศึกษาข้อมูลราคาให้ดี ก่อนตัดสินใจซื้อ
กล้วยด่าง เป็นพืชที่น่าสนใจ ทั้งในแง่ความสวยงาม และมูลค่าทางเศรษฐกิจ แต่ควรศึกษาข้อมูล และเลือกซื้อจากแหล่งที่เชื่อถือได้






ค่า pH ของดินที่เหมาะสมสำหรับปลูกมะเขือพวงอยู่ในช่วง 6.0 - 7.0

 ค่า pH ของดินที่เหมาะสมสำหรับปลูกมะเขือพวงอยู่ในช่วง 6.0 - 7.0 ซึ่งถือว่าเป็นดินที่ค่อนข้างเป็นกลาง

เหตุผลที่มะเขือพวงชอบดิน pH 6.0 - 7.0
  • ธาตุอาหารในดินละลายได้ดี: ช่วง pH นี้ ธาตุอาหารต่างๆ ในดินจะละลายได้ดี ทำให้รากมะเขือพวงดูดซึมไปใช้ประโยชน์ได้ง่าย ส่งผลให้ต้นมะเขือพวงเจริญเติบโตได้ดี
  • จุลินทรีย์ในดินทำงานได้ดี: ช่วง pH ดินนี้ เหมาะสมต่อการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์ที่เป็นประโยชน์ในดิน ซึ่งจุลินทรีย์เหล่านี้จะช่วยย่อยสลายอินทรียวัตถุ ปลดปล่อยธาตุอาหาร และช่วยปรับปรุงโครงสร้างดิน
วิธีตรวจสอบ pH ดิน
  • ชุดทดสอบ pH ดิน: หาซื้อได้ตามร้านขายอุปกรณ์เกษตรทั่วไป ใช้งานง่าย ราคาไม่แพง
  • ส่งตรวจดิน: สามารถส่งตัวอย่างดินไปตรวจที่ กรมพัฒนาที่ดิน หรือ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
วิธีปรับ pH ดิน
  • ดินเป็นกรด (pH ต่ำกว่า 6.0):
  • ใส่ปูนขาว โดโลไมท์ หรือปูนมาร์ล
ดินเป็นด่าง (pH สูงกว่า 7.0):
  • ใส่กำมะถันผง
  • เพิ่มอินทรียวัตถุในดิน เช่น ปุ๋ยคอก ปุ๋ยหมัก
หมายเหตุ: ควรปรับ pH ดิน ก่อนปลูกมะเขือพวง ประมาณ 2-4 สัปดาห์ เพื่อให้ดินมีเวลาปรับสภาพ และควรตรวจสอบ pH ดิน เป็นประจำทุกปี


ขั้นตอนการเพาะกล้ามะเขือพวงจากเมล็ด

 ขั้นตอนการเพาะกล้ามะเขือพวงจากเมล็ด

การเพาะกล้ามะเขือพวงจากเมล็ด ช่วยให้เราคัดเลือกต้นกล้าที่แข็งแรงไปปลูกต่อได้ และยังประหยัดค่าใช้จ่ายได้มากกว่าการซื้อต้นกล้าสำเร็จรูป มาดูขั้นตอนกันเลย

1. เตรียมอุปกรณ์

  • เมล็ดพันธุ์มะเขือพวง: เลือกซื้อจากร้านค้าที่เชื่อถือได้ หรือเก็บจากผลมะเขือพวงที่แก่จัด
  • ภาชนะเพาะ: ถาดเพาะกล้า กระบะเพาะ หรือภาชนะอื่นๆ ที่มีรูระบายน้ำ
  • ดินเพาะ: ใช้ดินเพาะสำเร็จรูป หรือผสมดินร่วน ปุ๋ยคอก แกลบดำ ในอัตราส่วน 1:1:1
  • บัวรดน้ำ: เลือกแบบฝอยละเอียด เพื่อไม่ให้แรงดันน้ำรบกวนเมล็ด
  • ฟิล์มถนอมอาหาร หรือถุงพลาสติกใส: สำหรับคลุมภาชนะเพาะ
2. ขั้นตอนการเพาะ
  • เตรียมดิน: นำดินเพาะใส่ภาชนะ กดดินให้แน่นพอประมาณ รดน้ำให้ชุ่ม
  • หยอดเมล็ด: ใช้ปลายนิ้ว หรือไม้เล็กๆ จิ้มดินให้เป็นหลุมตื้นๆ ลึกประมาณ 0.5-1 เซนติเมตร หยอดเมล็ดลงไปหลุมละ 1-2 เมล็ด กลบดินบางๆ
  • รดน้ำ: ใช้บัวรดน้ำฝอยละเอียด รดน้ำให้ทั่ว อย่าให้น้ำแรงเกินไป เพราะจะทำให้เมล็ดกระเด็น
  • คลุมภาชนะ: คลุมภาชนะเพาะด้วยฟิล์มถนอมอาหาร หรือถุงพลาสติกใส เพื่อรักษาความชื้น เจาะรูเล็กๆ บนฟิล์ม เพื่อระบายอากาศ
  • วางในที่ร่ม: นำภาชนะเพาะไปวางในที่ร่ม มีแสงแดดรำไร หลีกเลี่ยงแสงแดดจัด
  • รดน้ำ: รดน้ำวันละ 1-2 ครั้ง เช้า-เย็น หรือสังเกตดูความชื้นของดิน อย่าให้ดินแห้ง
3. การดูแลหลังงอก
  • เปิดให้รับแสง: เมื่อเมล็ดงอก มีใบเลี้ยง ให้เปิดฟิล์ม หรือถุงพลาสติกออก ย้ายภาชนะเพาะไปวางในที่ ที่มีแสงแดดรำไร
  • รดน้ำ: รดน้ำวันละ 1-2 ครั้ง เช้า-เย็น อย่าให้ดินแห้ง
  • ใส่ปุ๋ย: เมื่อต้นกล้ามีใบจริง 2-3 คู่ เริ่มให้ปุ๋ยละลายน้ำ สูตร 15-15-15 หรือ 20-20-20 ผสมน้ำตามอัตราส่วนที่ระบุบนฉลาก รดต้นกล้า สัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง
4. การย้ายปลูก
  • เมื่อต้นกล้ามะเขือพวง อายุประมาณ 3-4 สัปดาห์ หรือสูงประมาณ 5-8 เซนติเมตร มีใบจริง 4-5 คู่ สามารถย้ายปลูก ลงในกระถาง หรือแปลงปลูกได้

เคล็ดลับเพิ่มเติม
  • ควรเลือกใช้เมล็ดพันธุ์ที่ใหม่ สด มีคุณภาพ เพื่อเพิ่มอัตราการงอก
  • ควรใช้ดินเพาะที่สะอาด ปราศจากเชื้อโรค
  • ควรหมั่นตรวจสอบความชื้นของดิน อย่าให้ดินแห้ง
  • ควรระวังไม่ให้ต้นกล้าได้รับแสงแดดจัด เพราะจะทำให้ต้นกล้าเหี่ยวเฉาได้












การดูแลและใส่ปุ๋ยมะเขือพวงตั้งแต่เริ่มปลูกจนเก็บเกี่ยว

 การดูแลและใส่ปุ๋ยมะเขือพวงตั้งแต่เริ่มปลูกจนเก็บเกี่ยว




  • สัปดาห์แรก (เพาะเมล็ด): รดน้ำวันละ 1-2 ครั้ง เช้า-เย็น ดูแลความชื้นไม่ให้ดินแห้ง คอยสังเกตต้นกล้า ช่วงนี้ยังไม่ต้องใส่ปุ๋ย เวลารดน้ำควรใช้ฟักบัวรดเบาๆ เพื่อไม่ให้เมล็ดกระเด็น
  • สัปดาห์ที่ 2: รดน้ำวันละครั้ง ถอนต้นกล้าที่อ่อนแอออก ยังไม่ต้องใส่ปุ๋ย หากดินยังชื้นอยู่ก็เว้นการรดน้ำได้
  • สัปดาห์ที่ 3-4: รดน้ำวันละครั้ง พรวนดินรอบโคนต้นเบาๆ และกำจัดวัชพืช เริ่มใส่ปุ๋ยหมักหรือปุ๋ยคอก รอบโคนต้น
  • สัปดาห์ที่ 5-8: รดน้ำวันละครั้ง พรวนดิน กำจัดวัชพืช ตรวจดูโรคและแมลง เริ่มใส่ปุ๋ยเคมีสูตร 15-15-15 หรือ 16-16-16 รอบโคนต้น ประมาณ 1 ช้อนชา/ต้น
  • สัปดาห์ที่ 9-12: รดน้ำวันละครั้ง พรวนดิน กำจัดวัชพืช ตรวจดูโรคและแมลง เริ่มทำค้างหรือหาหลักให้มะเขือพวงยึดเลื้อย ใส่ปุ๋ยเคมีสูตร 13-13-21 หรือ 8-24-24 รอบโคนต้น ประมาณ 1-2 ช้อนโต๊ะ/ต้น
  • สัปดาห์ที่ 13-16: รดน้ำวันละครั้ง พรวนดิน กำจัดวัชพืช ตรวจดูโรคและแมลง ใส่ปุ๋ยเคมีสูตร 13-13-21 หรือ 8-24-24 รอบโคนต้น ประมาณ 2-3 ช้อนโต๊ะ/ต้น
  • สัปดาห์ที่ 17 เป็นต้นไป (เริ่มเก็บเกี่ยว): รดน้ำวันละครั้ง พรวนดิน กำจัดวัชพืช ตรวจดูโรคและแมลง เก็บผลผลิต ใส่ปุ๋ยเคมีสูตร 13-13-21 หรือ 8-24-24 รอบโคนต้น ทุก 1-2 สัปดาห์ ประมาณ 3-4 ช้อนโต๊ะ/ต้น

ข้อควรจำ

  • นี่เป็นแค่แนวทางคร่าวๆ การดูแลและการใส่ปุ๋ยอาจแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อม ดิน และพันธุ์มะเขือพวง
  • หมั่นสังเกตการเจริญเติบโตของมะเขือพวง หากพบว่าใบเหลือง ใบซีด หรือมีลักษณะผิดปกติ ควรปรับการดูแลและการใส่ปุ๋ยให้เหมาะสม
  • ควรใส่ปุ๋ยหลังจากรดน้ำแล้ว เพื่อป้องกันไม่ให้รากมะเขือพวงได้รับความเสียหายจากปุ๋ย
  • หากไม่แน่ใจ ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านการเกษตร หรือร้านจำหน่ายอุปกรณ์การเกษตร เพื่อขอคำแนะนำเพิ่มเติมเกี่ยวกับการดูแลและการใส่ปุ๋ยมะเขือพวง




ขั้นตอนการปลูกมะเขือพวง

  ขั้นตอนการปลูกมะเขือพวง

มะเขือพวงเป็นพืชที่ปลูกง่าย ดูแลง่าย และให้ผลผลิตเร็ว ปลูกได้ทั้งในกระถางและในแปลงดิน เรามาดูวิธีปลูกมะเขือพวงแบบละเอียดกันเลย

1. การเตรียมก่อนปลูก

  • การเลือกพันธุ์: เลือกพันธุ์มะเขือพวงที่เหมาะสมกับพื้นที่ปลูก เช่น พันธุ์ที่ทนทานต่อโรคและแมลง พันธุ์ที่ให้ผลผลิตสูง หรือพันธุ์ที่เหมาะกับการปลูกในกระถาง
  • การเตรียมดิน: มะเขือพวงเจริญเติบโตได้ดีในดินร่วนซุย ระบายน้ำดี ผสมดินกับปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักในอัตราส่วน 3:1 หากดินเป็นกรด ควรโรยปูนขาวเพื่อปรับสภาพดินก่อนปลูก
  • การเตรียมภาชนะปลูก (สำหรับปลูกในกระถาง): เลือกกระถางที่มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางอย่างน้อย 12 นิ้ว เจราะรูระบายน้ำที่ก้นกระถาง
  • การเตรียมเมล็ดพันธุ์: นำเมล็ดมะเขือพวงแช่น้ำอุ่นประมาณ 2-3 ชั่วโมง เพื่อช่วยให้เมล็ดงอกเร็วขึ้น
2. การปลูก
  • การเพาะเมล็ด:
  • ปลูกในแปลงดิน: หยอดเมล็ดลงในหลุมปลูก หลุมละ 2-3 เมล็ด ระยะห่างระหว่างต้นประมาณ 50-60 เซนติเมตร กลบดินบางๆ รดน้ำให้ชุ่ม
  • ปลูกในกระถาง: หยอดเมล็ดลงในกระถาง กระถางละ 2-3 เมล็ด กลบดินบางๆ รดน้ำให้ชุ่ม
  • การย้ายกล้า: เมื่อต้นกล้ามะเขือพวงมีใบจริง 2-3 คู่ เลือกต้นที่แข็งแรงย้ายไปปลูกในกระถางหรือแปลงดินที่เตรียมไว้
3. การดูแลรักษา
  • การให้น้ำ: รดน้ำ regularly, keeping the soil moist but not waterlogged. รดน้ำให้ชุ่มอย่างน้อยวันละ 1 ครั้ง โดยเฉพาะช่วงเช้า
  • การใส่ปุ๋ย: ใส่ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก ประมาณ 1-2 สัปดาห์/ครั้ง เพื่อให้ต้นมะเขือพวงเจริญเติบโตดี
  • การพรวนดิน: พรวนดินรอบๆ ต้น เพื่อช่วยให้ดินโปร่ง รากพืชชอนไชได้ง่าย
  • การป้องกันโรคและแมลง:
  • ตรวจดูต้นมะเขือพวงอย่างสม่ำเสมอ เพื่อหาสัญญานของโรคและแมลง
  • กำจัดวัชพืชรอบๆ ต้นมะเขือพวงเป็นประจำ เพื่อป้องกันไม่ให้เป็นแหล่งเพาะพันธุ์โรคและแมลง
4. การเก็บเกี่ยว
  • มะเขือพวงจะเริ่มให้ผลผลิตหลังจากปลูกประมาณ 2-3 เดือน
  • สามารถเก็บเกี่ยวได้เมื่อผลมีขนาดโตเต็มที่ และมีสีเขียวเข้ม
  • ใช้กรรไกรหรือมีดคมๆ ตัดขั้วผล อย่าดึงผลออกจากต้น เพราะอาจทำให้ต้นมะเขือพวงเสียหายได้
เคล็ดลับเพิ่มเติม
  • ปลูกมะเขือพวงในบริเวณที่ได้รับแสงแดดอย่างน้อย 6 ชั่วโมง/วัน
  • ปลูกมะเขือพวงในช่วงต้นฤดูฝน เพื่อให้ต้นมะเขือพวงได้รับน้ำอย่างเพียงพอ
  • เลือกใช้ปุ๋ยอินแกนิค หากต้องการเร่งการเจริญเติบโต



เพียงเท่านี้ คุณก็สามารถปลูกมะเขือพวงไว้ทานเองที่บ้านได้แล้ว





ข้อดีของมะเขือพวง

 ข้อดีของมะเขือพวง

มะเขือพวงเป็นพืชผักสวนครัวยอดนิยม มีรสชาติขมอมหวานเป็นเอกลักษณ์ นอกจากจะใช้ประกอบอาหารแล้ว ยังมีประโยชน์ต่อสุขภาพมากมาย ดังนี้

ด้านโภชนาการ

  1. อุดมไปด้วยสารอาหารที่สำคัญ: มะเขือพวงอุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุที่จำเป็นต่อร่างกาย เช่น วิตามินเอ วิตามินซี วิตามินเค ธาตุเหล็ก แคลเซียม โพแทสเซียม และแมกนีเซียม
  2. แคลอรี่ต่ำ: มะเขือพวงมีแคลอรี่ต่ำ จึงเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการควบคุมน้ำหนัก

ด้านสรรพคุณทางยา

  • ต้านอนุมูลอิสระ: มะเขือพวงอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยปกป้องเซลล์ในร่างกายจากการทำลายของอนุมูลอิสระ ลดความเสี่ยงของโรคเรื้อรังต่างๆ เช่น โรคมะเร็ง โรคหัวใจ และโรคหลอดเลือดสมอง
  • ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด: มะเขือพวงมีสารที่ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด จึงเหมาะสำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวาน
  • ลดความดันโลหิต: มะเขือพวงมีโพแทสเซียมสูง ช่วยลดความดันโลหิต ป้องกันโรคความดันโลหิตสูง
  • บำรุงสายตา: มะเขือพวงอุดมไปด้วยวิตามินเอ ช่วยบำรุงสายตา ป้องกันโรคตาต่างๆ เช่น โรคต้อกระจก
  • บำรุงผิวพรรณ: มะเขือพวงมีวิตามินซี ช่วยบำรุงผิวพรรณให้เปล่งปลั่ง ช่วยลดริ้วรอย
  • ช่วยย่อยอาหาร: มะเขือพวงมีเส้นใยอาหารสูง ช่วยกระตุ้นระบบขับถ่าย ป้องกันอาการท้องผูก
  • เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน: มะเขือพวงมีวิตามินซี ช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย ให้แข็งแรง

ข้อควรระวัง

  • การรับประทานมะเขือพวงในปริมาณมาก อาจทำให้เกิดอาการท้องอืด ท้องเฟ้อได้
  • ผู้ที่เป็นโรคเกาต์ควรหลีกเลี่ยงการรับประทานมะเขือพวง เพราะมะเขือพวงมีสารพิวรีนสูง อาจกระตุ้นให้เกิดอาการของโรคได้
สรุป
  • มะเขือพวงเป็นพืชผักที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพมากมาย เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการดูแลสุขภาพ แต่ควรบริโภคในปริมาณที่พอเหมาะ และปรึกษาแพทย์ก่อนรับประทาน หากมีโรคประจำตัว




สูตรน้ำหมักชีวภาพ สำหรับบำรุงกล้วยไข่

  สูตรน้ำหมักชีวภาพ สำหรับบำรุงกล้วยไข่ ทำง่าย ใช้ได้ผลจริง!

สูตรนี้ใช้วัตถุดิบหาได้ง่าย เน้นการบำรุงต้น เร่งการเจริญเติบโต และเพิ่มความหวานให้กับผลผลิต
ส่วนผสม

  • ผลไม้สุก เช่น กล้วยสุก มะละกอสุก ฟักทองสุก หรือผลไม้อื่นๆ 1 กิโลกรัม
  • น้ำตาลทรายแดง 1 กิโลกรัม
  • น้ำสะอาด 10 ลิตร
  • หัวเชื้อจุลินทรีย์ (EM) หรือจุลินทรีย์สังเคราะห์แสง 200 มิลลิลิตร
อุปกรณ์
  • ถังหมักพลาสติก พร้อมฝาปิด
  • ไม้พายสำหรับคน
วิธีทำ
  • หั่นผลไม้สุกเป็นชิ้นเล็กๆ ใส่ลงในถังหมัก
  • ละลายน้ำตาลทรายแดงในน้ำสะอาด คนให้เข้ากันดี
  • เทน้ำที่ผสมน้ำตาลแล้วลงในถังหมัก ตามด้วยหัวเชื้อจุลินทรีย์
  • คนส่วนผสมทั้งหมดให้เข้ากัน ปิดฝาถังให้สนิท
  • หมักไว้ในที่ร่ม อากาศถ่ายเทสะดวก ประมาณ 1-2 เดือน โดยในช่วง 1-2 สัปดาห์แรก ควรเปิดฝาถัง คนส่วนผสมทุกวัน เพื่อระบายก๊าซ
วิธีใช้
  • ผสมน้ำหมักชีวภาพ 1 ลิตร กับน้ำสะอาด 20 ลิตร รดต้นกล้วยไข่ ทุกๆ 7-14 วัน
  • สามารถใช้รดได้ตั้งแต่เริ่มปลูก จนถึงช่วงก่อนเก็บเกี่ยว 1 เดือน

ข้อดีของน้ำหมักชีวภาพ
  • ช่วยปรับปรุงโครงสร้างดิน
  • เพิ่มธาตุอาหาร และแร่ธาตุที่เป็นประโยชน์ต่อต้นกล้วย
  • ช่วยย่อยสลายเศษซากพืช
  • ช่วยป้องกันโรค และแมลงศัตรูพืช
  • เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
เคล็ดลับ
  • ควรเลือกใช้ผลไม้สุกงอม เพื่อให้ได้จุลินทรีย์ที่มีประสิทธิภาพ
  • สามารถเติมกากน้ำตาล หรือน้ำมะพร้าวอ่อน ลงไปในน้ำหมัก เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพได้
  • น้ำหมักชีวภาพที่ดี จะมีสีน้ำตาลเข้ม กลิ่นหอมอมเปรี้ยว และไม่มีกลิ่นเน่าเสีย
ลองนำสูตรนี้ไปทำตามกันดูนะคะ รับรองว่ากล้วยไข่ของคุณจะเจริญเติบโตอย่างแข็งแรง ให้ผลผลิตดี รสชาติหวานอร่อยถูกใจแน่นอน




การตัดแต่งใบและการไว้หน่อกล้วยไข่

  เทคนิคการตัดแต่งใบและการไว้หน่อกล้วยไข่ เพิ่มผลผลิต ปลอดโรค!

การตัดแต่งใบกล้วยไข่เป็นสิ่งสำคัญ ช่วยให้ต้นกล้วยโปร่ง แสงแดดส่องถึง ลดการเกิดโรค และช่วยให้หน่อที่เราไว้เจริญเติบโตได้ดีขึ้น

ช่วงเวลาที่เหมาะสมในการตัดแต่งใบ:

  • หลังตัดเครือ: ตัดแต่งใบกล้วยที่แก่ เหลือง แห้ง และใบที่เป็นโรคออก เพื่อลดการแพร่ระบาดของโรค และช่วยให้ต้นแม่ฟื้นตัวเร็วขึ้น

ช่วงดูแลรักษา:
  • ควรตัดแต่งใบกล้วยที่หนาแน่นเกินไป ใบที่หัก ใบที่เป็นโรค และใบที่บังแสงแดด ออกเป็นประจำ เพื่อให้ต้นกล้วยโปร่ง ลมถ่ายเทสะดวก

วิธีการตัดแต่งใบ:

  • ใช้มีดที่คมและสะอาด ตัดเฉียงประมาณ 45 องศา
  • ไม่ควรตัดใบ sát ต้นกล้วยมากเกินไป เพราะอาจทำให้ต้นกล้วยเกิดบาดแผล และติดเชื้อโรคได้
  • ควรตัดแต่งใบกล้วยในช่วงเช้า ที่อากาศไม่ร้อนจัด เพื่อลดการสูญเสียน้ำของต้นกล้วย

เทคนิคการไว้หน่อกล้วยไข่:

  • เลือกหน่อที่แข็งแรง: เลือกไว้เพียง 1-2 หน่อ ที่แข็งแรง สมบูรณ์ที่สุด โดยเลือก “หน่อดาบ” ที่มีลักษณะใบแหลม แทงตรงขึ้นด้านบน

กำจัดหน่อที่ไม่ต้องการ:
  • ตัดหน่อที่ไม่ต้องการออกให้ sát โคนต้น โดยใช้มีดที่คมและสะอาด เพื่อป้องกันการแย่งอาหาร และลดการเกิดโรค

ระยะเวลาที่เหมาะสม:
  • ควรตัดแต่งหน่อกล้วย หลังจากที่ต้นแม่เก็บเกี่ยวผลผลิตแล้ว หรือเมื่อหน่อที่ต้องการมีขนาดโตพอประมาณ

ข้อดีของการตัดแต่งใบ และการไว้หน่อกล้วยไข่:

  • ช่วยลดการเกิดโรค
  • ช่วยให้ต้นกล้วยโปร่ง แสงแดดส่องถึง
  • ช่วยให้หน่อที่เราไว้เจริญเติบโตได้ดี แข็งแรง
  • ช่วยให้ได้ผลผลิตที่ดี มีคุณภาพ

เพียงเท่านี้ คุณก็สามารถดูแลต้นกล้วยไข่ของคุณ ให้เจริญเติบโตได้ดี และได้ผลผลิตกล้วยไข่รสชาติหวานอร่อย สมใจอยากอย่างแน่นอน!







วิธีการใส่ปุ๋ยกล้วยไข่ ตั้งแต่ปลูกจนถึงตัดเครือ

 มาดูวิธีการใส่ปุ๋ยกล้วยไข่ ตั้งแต่ปลูกจนถึงตัดเครือแบบเข้าใจง่าย ให้ออกผลผลิตดี รสชาติหวานอร่อยกัน!

ช่วงแรกปลูก - กระตุ้นการเจริญเติบโต (1-3 เดือนแรก)

  • เน้นปุ๋ยที่มีไนโตรเจนสูง เพื่อช่วยในการเจริญเติบโตของลำต้นและใบ
  • ใช้ปุ๋ยคอก หรือปุ๋ยหมัก ผสมกับปุ๋ยเคมีสูตรที่มีตัวเลขแรกสูง เช่น 46-0-0 หรือ 15-15-15
  • ใส่ปริมาณน้อยๆ แต่บ่อยครั้ง ประมาณ 1-2 กิโลกรัมต่อต้น ทุกๆ 1-2 เดือน โดยโรยรอบๆ โคนต้น แล้วพรวนดินกลบเบาๆ

ช่วงเร่งลำต้น แตกกอ (เดือนที่ 4-6)

  • เน้นปุ๋ยที่มีฟอสฟอรัสสูง เพื่อช่วยในการเจริญเติบโตของราก
  • ใช้ปุ๋ยคอก หรือปุ๋ยหมัก ผสมกับปุ๋ยเคมีสูตรที่มีตัวเลขตรงกลางสูง เช่น 8-24-24 หรือ 12-24-12
  • ใส่ปริมาณ 2-3 กิโลกรัมต่อต้น ทุกๆ 2 เดือน

ช่วงออกดอก ออกผล (เดือนที่ 7-9)

  • เน้นปุ๋ยที่มีโปแตสเซียมสูง เพื่อช่วยในการติดดอก ออกผล และเพิ่มรสชาติความหวาน
  • ใช้ปุ๋ยคอก หรือปุ๋ยหมัก ผสมกับปุ๋ยเคมีสูตรที่มีตัวเลขสุดท้ายสูง เช่น 0-0-60 หรือ 13-13-21
  • ใส่ปริมาณ 3-4 กิโลกรัมต่อต้น แบ่งใส่ 2 ครั้ง ครั้งแรกช่วงกล้วยเริ่มแทงปลี และครั้งที่สองหลังจากตัดปลีแล้วประมาณ 1 เดือน

ช่วงก่อนเก็บเกี่ยว (1 เดือนก่อนตัดเครือ)

  • งดใส่ปุ๋ยทุกชนิด เพื่อให้ต้นกล้วยสะสมอาหาร และเเม่กล้วยฟื้นตัวเร็วขึ้น

ข้อควรระวัง

  • ควรใส่ปุ๋ยในช่วงเช้า หรือเย็น ที่อากาศไม่ร้อนจัด และรดน้ำตามทันที
  • ไม่ควรใส่ปุ๋ยติดกับโคนต้น เพราะอาจทำให้รากไหม้ได้
  • ควรใส่ปุ๋ยตามความเหมาะสม โดยสังเกตจากการเจริญเติบโตของต้นกล้วย และสภาพดินเป็นหลัก

เทคนิคเพิ่มเติม

  • นอกจากปุ๋ยเคมี สามารถเสริมด้วยปุ๋ยอินทรีย์ เช่น ปุ๋ยหมัก ปุ๋ยมูลไส้เดือน หรือน้ำหมักชีวภาพ เพื่อปรับปรุงโครงสร้างดิน และเพิ่มธาตุอาหารให้กับต้นกล้วยได้อีกด้วย
  • เพียงเท่านี้ คุณก็สามารถใส่ปุ๋ยกล้วยไข่ได้อย่างถูกวิธี และได้ผลผลิตกล้วยไข่รสชาติหวานอร่อย สมใจอยากแน่นอน!

ตารางการดูแลกล้วยไข่ ตั้งแต่ปลูกจนเก็บเกี่ยว

  มาดูแลกล้วยไข่แบบง่ายๆ ให้ได้ผลผลิตดีกัน!

สั้งหน่อกล้วยใข่ 0809898770



ช่วงแรกของชีวิต (เดือนที่ 1-3):
  • เหมือนดูแลเด็กเล็ก ต้องเอาใจใส่เป็นพิเศษ รดน้ำให้ชุ่มทุกวัน กำจัดวัชพืชรอบๆ ต้น ช่วงนี้หน่อใหม่จะเริ่มแตก เลือกไว้แค่ 1-2 หน่อที่แข็งแรงที่สุดก็พอ นอกจากนี้ต้องคอยระวังหนูและแมลง ที่ชอบมากัดกินหน่ออ่อนด้วย

ช่วงเติบโต (เดือนที่ 4-6):
  • เริ่มโตขึ้นมาหน่อย รดน้ำสัปดาห์ละ 2-3 ครั้งก็พอ ใส่ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักสูตรบำรุงต้น พรวนดินรอบๆ โคนต้นเบาๆ อย่าลืมตัดแต่งกิ่งที่ไม่แข็งแรงหรือเป็นโรคออกด้วย ช่วงนี้ฝนตกชุก ระวังโรคตายพรายให้ดี

ช่วงออกดอกออกผล (เดือนที่ 7-12):
  • ใกล้ได้ชิมกล้วยแล้ว! รดน้ำสัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง ใส่ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักสูตรเร่งดอก เร่งผล เมื่อกล้วยเริ่มออกปลี หาไม้มาค้ำยันต้นไว้กันล้ม ช่วงนี้ลมแรง ระวังต้นล้มด้วยนะ อย่าลืมห่อเครือกล้วยด้วยถุงพลาสติกหรือตาข่าย เพื่อป้องกันแมลงและนก ตัดแต่งปลีกล้วยที่เริ่มเหี่ยวออกด้วย

ช่วงเก็บเกี่ยว (เดือนที่ 12-15):
  • ถึงเวลาอร่อยแล้ว! งดใส่ปุ๋ย รดน้ำเมื่อดินแห้ง เมื่อกล้วยมีอายุประมาณ 150-180 วัน ก็สามารถเก็บเกี่ยวได้เลย สังเกตผลที่เริ่มเหลือง มีเหลี่ยมชัดเจน

Tips:

  • หมั่นสังเกตต้นกล้วย ถ้าพบสิ่งผิดปกติรีบแก้ไข
  • ศึกษาโรคและแมลงศัตรูพืชของกล้วย และวิธีป้องกัน
  • เพียงเท่านี้ คุณก็สามารถปลูกกล้วยไข่ ให้ผลผลิตดี หวาน อร่อย ไว้กินเอง หรือแบ่งปันเพื่อนบ้านได้แล้ว!




วิธีปลูกกล้วยไข่แบบเข้าใจง่าย ได้ผลผลิตดี

 วิธีปลูกกล้วยไข่แบบเข้าใจง่าย ได้ผลผลิตดี


(สั่งหน่อกล้วยใขกำแพงเพชรของแท้ 0809898770)



1. การเลือกพื้นที่และเ๓รียมดินปลูก
  • เลือกพื้นที่: กล้วยไข่ชอบแสงแดดจัด เลือกพื้นที่ที่ได้รับแสงแดดอย่างน้อย 6 ชั่วโมงต่อวัน ดินระบายน้ำดี ไม่ท่วมขัง
  • เตรียมดิน:
  • ขุดหลุมปลูก กว้าง x ยาว x ลึก ประมาณ 50 x 50 x 50 เซนติเมตร
  • ผสมดินที่ขุดขึ้นมากับปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก อัตราส่วน 1:1
  • หากดินเป็นกรดจัด ควรใส่ปูนขาวเพื่อปรับสภาพดิน
2. การเลือกหน่อพันธุ์
  • เลือกหน่อพันธุ์ที่สมบูรณ์ แข็งแรง ไม่มีโรคและแมลง
  • หน่อพันธุ์ที่ดีจะมีลักษณะอวบใหญ่ ใบมีสีเขียวเข้ม
  • หน่อที่เหมาะสมที่สุดในการปลูกคือ "หน่อดาบ"
3. การปลูก
  • นำหน่อพันธุ์ที่เตรียมไว้ลงปลูกในหลุมที่เตรียมไว้
  • กลบดินให้แน่น รดน้ำให้ชุ่ม
  • ระยะปลูกที่เหมาะสม ประมาณ 2 x 3 เมตร
4. การดูแลรักษา
  • การให้น้ำ: ควรรดน้ำอย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะช่วงที่กล้วยกำลังเจริญเติบโต
  • การใส่ปุ๋ย: ใส่ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก อัตรา 2-3 กิโลกรัมต่อต้น ทุก ๆ 3 เดือน
  • การกำจัดวัชพืช: ควรกำจัดวัชพืชรอบๆ โคนต้นอย่างสม่ำเสมอ
  • การค้ำยัน: เมื่อกล้วยเริ่มออกปลี ควรใช้ไม้ค้ำยันเพื่อป้องกันต้นล้ม

ค่า pH ของดินที่เหมาะสมสำหรับปลูกกล้วยน้ำว้า

  ค่า pH ของดินที่เหมาะสมสำหรับปลูกกล้วยน้ำว้า ควรอยู่ระหว่าง 5.5 - 6.5

เหตุผล:
  • ดูดซึมธาตุอาหารได้ดี: ช่วง pH นี้ กล้วยน้ำว้าจะสามารถดูดซึมธาตุอาหารในดินได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • เจริญเติบโตดี: ดินที่มีค่า pH เป็นกรดเล็กน้อย เหมาะสมต่อการเจริญเติบโตของกล้วยน้ำว้า
  • ลดความเสี่ยงโรค: ช่วง pH นี้ ช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรครากเน่า และโรคอื่นๆ
วิธีตรวจสอบค่า pH ของดิน:
  • ชุดตรวจสอบ pH ดิน: หาซื้อได้ตามร้านขายอุปกรณ์การเกษตร
  • ส่งตัวอย่างดินไปตรวจ: ที่กรมวิชาการเกษตร หรือห้องปฏิบัติการดิน
วิธีปรับ pH ดิน:
  • ดินเป็นกรด (pH ต่ำกว่า 5.5):
  • ใส่ปูนขาว ปูนโดโลไมท์ หรือปูนมาร์ล
  • ดินเป็นด่าง (pH สูงกว่า 6.5):
  • ใส่กำมะถัน
  • เพิ่มอินทรียวัตถุในดิน เช่น ปุ๋ยคอก ปุ๋ยหมัก
คำแนะนำ:
  • ควรตรวจสอบค่า pH ดินก่อนปลูกกล้วยน้ำว้า
  • ปรับ pH ดินให้เหมาะสมก่อนปลูก
  • หมั่นตรวจสอบค่า pH ดินอย่างสม่ำเสมอ



ตารางการดูแลกล้วยน้ำว้าแบบละเอียด

 ตารางการดูแลกล้วยน้ำว้าแบบละเอียด (ตั้งแต่เดือนแรก - เก็บเกี่ยว)




ตารางนี้เป็นเพียงตัวอย่างคร่าวๆ การดูแลจริงอาจแตกต่างกันไปตามสภาพแวดล้อม พันธุ์กล้วย และปัจจัยอื่นๆ

เดือนที่ 1 (หลังปลูก)

  • การให้น้ำ: รดน้ำทุกวัน วันละ 1 ครั้ง เช้าหรือเย็น ดูแลให้ดินชุ่มชื้น
  • การใส่ปุ๋ย: ยังไม่ต้องใส่ปุ๋ยเคมี เน้นพรวนดินรอบโคนต้น
  • การกำจัดวัชพืช: กำจัดวัชพืชรอบโคนต้น เพื่อไม่ให้แย่งอาหาร
  • การป้องกันโรคและแมลง: สังเกตการระบาดของโรคและแมลง เช่น โรคตายพราย หนอนกอ
  • งานอื่นๆ: ตรวจสอบต้นกล้วยเป็นประจำ ถ้าพบต้นที่ไม่สมบูรณ์ให้รีบเปลี่ยนทิ้ง
เดือนที่ 2-3
  • การให้น้ำ: รดน้ำ 3-4 วัน/ครั้ง หรือเมื่อดินแห้ง
  • การใส่ปุ๋ย: ใส่ปุ๋ยคอก หรือปุ๋ยหมัก รอบโคนต้น
  • การกำจัดวัชพืช: กำจัดวัชพืชอย่างสม่ำเสมอ
  • การป้องกันโรคและแมลง:
  • โรคตายพราย : ใช้เชื้อราไตรโคเดอร์มา โรยรอบโคนต้น
  • หนอนกอ : ใช้สารสะเดาฉีดพ่น
  • งานอื่นๆ:
  • ตัดแต่งกิ่งที่ไม่สมบูรณ์ กิ่งแห้ง
  • พรวนดินรอบโคนต้น
เดือนที่ 4-6
  • การให้น้ำ: ควบคุมการให้น้ำ ถ้าฝนตกไม่ต้องรด
  • การใส่ปุ๋ย: ใส่ปุ๋ยเคมีสูตร 15-15-15 หรือ 20-20-20 เพื่อเร่งการเจริญเติบโต
  • การกำจัดวัชพืช: ทำเช่นเดียวกับเดือนที่ผ่านมา
  • การป้องกันโรคและแมลง:
  • โรคใบจุดดำ : ใช้สารป้องกันกำจัดโรคพืชกลุ่มไตรอะโซล ฉีดพ่น
  • แมลงศัตรูพืช : ใช้สารกำจัดแมลง เช่น คาร์บาริล
  • งานอื่นๆ:
  • ตัดแต่งหน่อกล้วย เหลือไว้เพียง 1-2 หน่อ/กอ
  • ค้ำยันต้นกล้วย ป้องกันต้นล้ม
เดือนที่ 7-9
  • การให้น้ำ: ควบคุมการให้น้ำ อย่าให้แฉะ
  • การใส่ปุ๋ย: ใส่ปุ๋ยเคมีสูตร 8-24-24 หรือ 13-13-21 เพื่อเร่งการออกดอกออกผล
  • การกำจัดวัชพืช: ทำเช่นเดียวกับเดือนที่ผ่านมา
  • การป้องกันโรคและแมลง:
  • โรคเหี่ยว : ใช้สารป้องกันกำจัดโรคพืชกลุ่มคอปเปอร์ ฉีดพ่น
  • เพลี้ยไฟ : ใช้กับดักกาวเหนียว
  • งานอื่นๆ:
  • คลุมโคนต้นด้วยฟางข้าว หรือหญ้าแห้ง เพื่อรักษาความชื้น
  • ตรวจสอบการออกดอก
เดือนที่ 10-12
  • การให้น้ำ: ลดปริมาณการให้น้ำ
  • การใส่ปุ๋ย: งดใส่ปุ๋ย
  • การป้องกันโรคและแมลง: หมั่นตรวจสอบ
  • งานอื่นๆ:
  • ตัดแต่งปลีกล้วยทิ้ง เมื่อกล้วยออกผลแล้ว
  • ห่อผลกล้วย เพื่อป้องกันแมลง และทำให้ผลสวย
  • เก็บเกี่ยวผลผลิต เมื่อกล้วยแก่ได้ที่
หมายเหตุ:
  • ตารางนี้เป็นเพียงตัวอย่างคร่าวๆ การดูแลจริงอาจแตกต่างกันไปตามสภาพแวดล้อม พันธุ์กล้วย และปัจจัยอื่นๆ
  • ควรปรึกษาเจ้าหน้าที่ส่งเสริมการเกษตร หรือผู้เชี่ยวชาญ เพื่อขอคำแนะนำที่เหมาะสมกับพื้นที่



ปลูกกล้วยให้หวีเยอะ ลูกใหญ่

 ปลูกกล้วยให้หวีเยอะ ลูกใหญ่ ทำได้ดังนี้




การปลูกกล้วยให้ได้ผลผลิตดี หวีเยอะ ลูกใหญ่ ต้องอาศัยองค์ประกอบหลายอย่างร่วมกัน ตั้งแต่การเลือกพันธุ์ การเตรียมดิน การดูแลรักษา ไปจนถึงการเก็บเกี่ยว

1. เลือกพันธุ์กล้วย:

  • เลือกพันธุ์ที่เหมาะสมกับสภาพพื้นที่และความต้องการของตลาด เช่น กล้วยน้ำว้า กล้วยไข่ กล้วยหอมทอง
  • เลือกหน่อพันธุ์ที่สมบูรณ์ แข็งแรง ไม่มีโรคและแมลง
  • ควรเลือกหน่อที่มีใบแคบ ยาว ไม่อ้วน และมีรอยแผลของกาบใบชัดเจน
2. การเตรียมดินและปลูก:
  • กล้วยชอบดินร่วนซุย มีอินทรียวัตถุสูง ระบายน้ำดี
  • ก่อนปลูกควรปรับปรุงดินด้วยปปุ๋ยคอก ปุ๋ยหมัก หรือปุ๋ยพืชสด
  • ขุดหลุมปลูกขนาด 50x50x50 เซนติเมตร
  • รองก้นหลุมด้วยปุ๋ยคอกผสมดิน
  • ปลูกลึกประมาณ 15-20 เซนติเมตร กลบดินให้แน่น รดน้ำให้ชุ่ม
3. การดูแลรักษา:
  • การให้น้ำ: กล้วยต้องการน้ำมาก ควรรดน้ำอย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะช่วงแล้ง
  • การใส่ปุ๋ย: ควรใส่ปุ๋ยอย่างน้อย 3 ครั้งต่อปี
  • ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก ในช่วงแรกของการปลูก
  • ปุ๋ยเคมีสูตร 15-15-15 หรือ 20-20-20 ในช่วงเร่งการเจริญเติบโต
  • ปุ๋ยเคมีสูตร 8-24-24 หรือ 13-13-21 ในช่วงออกดอกออกผล
  • การตัดแต่ง: ตัดแต่งกิ่งที่ไม่จำเป็น กิ่งที่เป็นโรค เพื่อให้ต้นกล้วยโปร่ง อากาศถ่ายเทสะดวก
  • การกำจัดวัชพืช: กำจัดวัชพืชรอบๆต้นกล้วย เพื่อไม่ให้แย่งอาหาร
  • การป้องกันกำจัดโรคและแมลง: ศึกษาโรคและแมลงของกล้วย และเลือกวิธีป้องกันกำจัดที่เหมาะสม เช่น การใช้ชีวภัณฑ์
4. การดูแลช่วงออกดอกออกผล:
  • การไว้หน่อ: ควรไว้หน่อที่สมบูรณ์แข็งแรง ไว้เพียง 1-2 หน่อต่อกอ เพื่อให้ต้นแม่ส่งอาหารไปเลี้ยงผลได้เต็มที่
  • การตัดแต่งปลี: เมื่อกล้วยออกผลแล้ว ควรตัดปลีกล้วยทิ้ง เพื่อให้ต้นกล้วยส่งอาหารไปเลี้ยงผลได้เต็มที่
  • การห่อผล: ห่อผลกล้วยด้วยถุงพลาสติก หรือวัสดุอื่นๆ เพื่อป้องกันแมลง และทำให้ผลกล้วยสวยงาม
5. การเก็บเกี่ยว:
  • เก็บเกี่ยวผลผลิตเมื่อกล้วยแก่ได้ที่ สังเกตจากผลกล้วยที่เต่งตึง ผิวผลเริ่มเปลี่ยนสี
  • เก็บเกี่ยวอย่างระมัดระวัง
  • เคล็ดลับเพิ่มเติม:
  • การปลูกกล้วยในฤดูฝน จะทำให้กล้วยเจริญเติบโตได้ดีกว่า
  • การคลุมโคนต้นกล้วยด้วยฟางข้าว หญ้าแห้ง หรือวัสดุอื่นๆ จะช่วยรักษาความชื้นในดิน ป้องกันวัชพืช
  • ควรปลูกกล้วยในพื้นที่ที่ได้รับแสงแดดอย่างเพียงพอ
หมายเหตุ: ข้อมูลข้างต้นเป็นเพียงคำแนะนำเบื้องต้นเท่านั้น ควรศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมจากแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือ และปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านการเกษตร เพื่อการปลูกกล้วยให้ได้ผลผลิตที่ดีที่สุด









เห็ดกระถินพิมานรักษามะเร็ง

พ่นควันไล่ผึ้ง

รักษาเก๊าท์

โกฏจุฬาลัมพาแห้ง