วันพุธที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2567

ปูนมาล แร่ยิบซั่ม ปูนขาว ปูนโดโลไมท์

 ปูนมาล แร่ยิบซั่ม ปูนขาว ปูนโดโลไมท์


วัสดุปรับปรุงดินที่กล่าวมา ล้วนแต่มีประโยชน์ต่อการปรับปรุงดินทั้งสิ้น แต่มีคุณสมบัติ และให้ธาตุอาหารแตกต่างกันไป การเลือกใช้จึงขึ้นอยู่กับสภาพดินและความต้องการของพืชเป็นหลักค่ะ

มาวิเคราะห์แต่ละชนิดกัน:

ปูนมาร์ล (Agricultural lime):

  • ธาตุอาหาร: แคลเซียม (Ca) และ แมกนีเซียม (Mg) ในรูปที่ละลายน้ำได้
  • คุณสมบัติ: ปรับสภาพดินเปรี้ยว ให้มีค่า pH สูงขึ้น
  • ข้อดี: ราคาถูก หาซื้อง่าย
  • ข้อเสีย: ออกฤทธิ์ช้า ต้องใช้ระยะเวลาในการปรับสภาพดิน

ปูนยิปซัม (Gypsum):

  • ธาตุอาหาร: แคลเซียม (Ca) และ กำมะถัน (S)
  • คุณสมบัติ: ปรับปรุงโครงสร้างดินเหนียว ช่วยระบายน้ำและอากาศ
  • ข้อดี: ช่วยแก้ปัญหาดินเค็ม
  • ข้อเสีย: ไม่ช่วยปรับสภาพดินเปรี้ยว

ปูนขาว (Quicklime):

  • ธาตุอาหาร: แคลเซียม (Ca)
  • คุณสมบัติ: ปรับสภาพดินเปรี้ยว ให้มีค่า pH สูงขึ้น
  • ข้อดี: ออกฤทธิ์เร็วกว่าปูนมาร์ล
  • ข้อเสีย: ราคาแพงกว่าปูนมาร์ล ต้องระวังอันตรายในการใช้

ปูนโดโลไมท์ (Dolomite):

  • ธาตุอาหาร: แคลเซียม (Ca) และ แมกนีเซียม (Mg)
  • คุณสมบัติ: ปรับสภาพดินเปรี้ยว ให้มีค่า pH สูงขึ้น
  • ข้อดี: ให้ทั้งแคลเซียมและแมกนีเซียม
  • ข้อเสีย: ออกฤทธิ์ช้า

สรุป:

  • หากดินเป็นกรดจัด และต้องการแคลเซียมและแมกนีเซียม: ปูนโดโลไมท์ เหมาะสมที่สุด
  • หากดินเป็นกรดจัด และต้องการให้ดินมี pH สูงขึ้นอย่างรวดเร็ว: ปูนขาว เหมาะสมที่สุด
  • หากดินเป็นดินเหนียว ระบายน้ำไม่ดี: ปูนยิปซัม เหมาะสมที่สุด
  • หากต้องการประหยัดต้นทุน และไม่รีบร้อน: ปูนมาร์ล เป็นทางเลือกที่ดี

คำแนะนำเพิ่มเติม:

  • ควรตรวจสอบสภาพดิน (pH) และปรึกษาเจ้าหน้าที่ส่งเสริมการเกษตร เพื่อเลือกชนิดและปริมาณการใช้วัสดุปรับปรุงดินที่เหมาะสม
  • ไม่ควรใส่ปูนขาว ปูนโดโลไมท์ พร้อมกับปุ๋ย เพราะอาจทำให้ธาตุอาหารบางชนิดจับตัวกัน เป็นผลเสียต่อพืชได้



.............................
.............................

การดูแลและแปลงปลูกกล้วยน้ำว้าในฤดูฝน

 การดูแลและแปลงปลูกกล้วยน้ำว้าในฤดูฝน

.
ฤดูฝนเป็นช่วงที่กล้วยน้ำว้าเจริญเติบโตได้ดี แต่ก็ต้องดูแลเป็นพิเศษเพื่อป้องกันโรคและแมลง ดังนี้
.
1. การเตรียมแปลงปลูก:
การระบายน้ำ: ตรวจสอบระบบระบายน้ำในแปลงปลูกให้ดี น้ำท่วมขังจะทำให้รากเน่าได้
การเตรียมดิน:
ไถพรวนดินตากแดด 7-14 วัน ก่อนปลูก เพื่อกำจัดวัชพืชและศัตรูพืช
ผสมดินปลูกกับปุ๋ยคอก ปุ๋ยหมัก หรือปุ๋ยพืชสด เพื่อเพิ่มธาตุอาหารในดิน
การเตรียมหน่อพันธุ์:
เลือกหน่อพันธุ์ที่แข็งแรง สมบูรณ์ ปราศจากโรคและแมลง
ตัดแต่งรากและใบออกบางส่วนก่อนปลูก
.
2. การปลูก:
ระยะปลูก: ควรปลูกระยะห่าง 2x2 เมตร หรือ 2.5x2.5 เมตร
การปลูก: ขุดหลุมปลูกให้มีความกว้างและลึกประมาณ 50x50x50 เซนติเมตร
รองก้นหลุม: ใส่ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก ประมาณ 1/4 ของหลุม แล้วกลบดินบางๆ
วางหน่อพันธุ์: วางหน่อพันธุ์ลงกลางหลุม กลบดินให้แน่น รดน้ำให้ชุ่ม
.
3. การดูแลรักษา:
การให้น้ำ: ในฤดูฝนอาจไม่จำเป็นต้องรดน้ำบ่อย แต่ควรรักษาความชื้นในดินให้สม่ำเสมอ
.
การใส่ปุ๋ย: ควรใส่ปุ๋ยอย่างน้อย 3 ครั้ง/ปี โดยใช้ปุ๋ยคอก ปุ๋ยหมัก หรือปุ๋ยเคมีสูตร 15-15-15(สูตรปัญญาอ่อนของ ราชการจบเกษตร)

...................................
(สูตรของลุงตามช่วงอายุ
การใส่ปุ๋ยกล้วยน้ำว้าแบบแบ่งช่วงอายุ
.
1. ช่วงต้นอ่อน (1-3 เดือน)
ความต้องการ: เน้นการเจริญเติบโตของราก ลำต้น และใบ
สูตรปุ๋ยที่แนะนำ: สูตรที่มีไนโตรเจนสูง เช่น 46-0-0 หรือ 25-7-7
วิธีการใส่:
ใส่ปุ๋ยรอบโคนต้น โดยโรยปุ๋ยห่างจากโคนต้นประมาณ 15-20 เซนติเมตร แล้วพรวนดินกลบ
ใส่ปุ๋ย 1-2 ครั้ง/เดือน
.
2. ช่วงก่อนออกดอก (4-7 เดือน)
ความต้องการ: เน้นการเจริญเติบโตของก้านใบ และเตรียมพร้อมสำหรับการออกดอกออกผล
สูตรปุ๋ยที่แนะนำ: สูตรที่มีฟอสฟอรัสสูง เช่น 12-24-12 หรือ 8-24-24
วิธีการใส่:
ใส่ปุ๋ยรอบโคนต้น โดยโรยปุ๋ยห่างจากโคนต้นประมาณ 30-50 เซนติเมตร แล้วพรวนดินกลบ
ใส่ปุ๋ย 2-3 ครั้ง/เดือน
.
3. ช่วงออกดอก - เก็บเกี่ยว (8-12 เดือน)
ความต้องการ: เน้นการเจริญเติบโตของผล และบำรุงรักษาต้น
สูตรปุ๋ยที่แนะนำ: สูตรที่มีโพแทสเซียมสูง เช่น 13-13-21 หรือ 9-24-36
.
วิธีการใส่:
ใส่ปุ๋ยรอบโคนต้น โดยโรยปุ๋ยห่างจากโคนต้นประมาณ 50-100 เซนติเมตร แล้วพรวนดินกลบ
ใส่ปุ๋ย 2-3 ครั้ง/เดือน
.
ข้อควรระวัง:
ปริมาณการใส่ปุ๋ยที่เหมาะสม ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง เช่น ความอุดมสมบูรณ์ของดิน สภาพอากาศ และ พันธุ์กล้วย)
.....................................
.
การพรวนดินและกำจัดวัชพืช: ควรพรวนดินและกำจัดวัชพืชอย่างสม่ำเสมอ เพื่อไม่ให้แย่งอาหารและน้ำจากต้นกล้วย
การป้องกันโรคและแมลง:
ตรวจดูต้นกล้วยเป็นประจำ
ใช้สารชีวภัณฑ์ หรือ สารเคมีตามคำแนะนำของกรมวิชาการเกษตร
กำจัดเศษซากพืชที่เป็นโรคออกจากแปลง
การค้ำยัน: เมื่อต้นกล้วยเริ่มออกปลี ควรใช้ไม้ค้ำยัน เพื่อป้องกันต้นล้ม
.
4. การเก็บเกี่ยว:
กล้วยน้ำว้าจะสามารถเก็บเกี่ยวได้หลังจากปลูกประมาณ 8-12 เดือน
เลือกเก็บเกี่ยวผลที่แก่จัด หรือ มีสีเขียวเข้ม
ข้อควรระวัง:
ในฤดูฝน ควรระมัดระวังโรคและแมลงที่ระบาดในช่วงฝนตกชุก
ควรศึกษาข้อมูลการใช้สารเคมีอย่างรอบคอบ
.
คำแนะนำเพิ่มเติม:
การปลูกพืชร่วมกับกล้วย เช่น พืชตระกูลถั่ว ช่วยเพิ่มธาตุอาหารในดิน และลดการระบาดของโรคและแมลง
การทำระบบน้ำหยด ช่วยประหยัดน้ำ และ กระจายน้ำได้อย่างทั่วถึง
การดูแลแปลงปลูกกล้วยน้ำว้าในฤดูฝนอย่างถูกวิธี จะช่วยให้กล้วยเจริญเติบโตได้ดี ให้ผลผลิตสูง และมีคุณภาพ

..............................

โรคและแมลงศัตรูกล้วยที่ระบาดในฤดูฝน มีดังนี้
โรคที่สำคัญ
โรคตายพราย (Panama Wilt): เกิดจากเชื้อราในดิน ทำให้ใบเหลือง เหี่ยว และยืนต้นตาย
การป้องกัน: ใช้หน่อพันธุ์ที่ปลอดโรค ไม่นำดินหรือวัสดุปลูกจากแหล่งที่เป็นโรคมาใช้
โรคใบจุด (Sigatoka): เกิดจากเชื้อรา ทำให้ใบเป็นจุดสีน้ำตาล
การป้องกัน: ตัดแต่งใบที่เป็นโรคทิ้ง รักษาความสะอาดแปลงปลูก
โรคแอนแทรคโนส (Anthracnose): เกิดจากเชื้อรา ทำให้ผลเน่า
การป้องกัน: ตัดแต่งใบที่เป็นโรคทิ้ง ใช้สารป้องกันกำจัดโรคพืชเมื่อพบการระบาด
แมลงที่สำคัญ
หนอนกอ (Banana Stem Weevil): ตัวอ่อนกัดกินภายในลำต้น ทำให้ต้นเหี่ยวและหักล้ม
การป้องกัน: ทำความสะอาดแปลงปลูก ใช้สารฆ่าแมลง
เพลี้ยไฟ (Thrips): ดูดกินน้ำเลี้ยงจากใบและผล ทำให้ใบและผลมีรอยจุดสีน้ำตาล
การป้องกัน: ใช้กับดักเหนียวสีฟ้า ใช้สารฆ่าแมลง
ไรแดง (Red Spider Mite): ดูดกินน้ำเลี้ยงจากใบ ทำให้ใบเหลืองซีด
การป้องกัน: รักษาความชื้น ฉีดพ่นน้ำ ใช้สารฆ่าแมลง
.
ข้อควรระวัง:
ควรหมั่นตรวจแปลงอย่างสม่ำเสมอ เพื่อสังเกตการระบาดของโรคและแมลง
หากพบการระบาด ควรใช้สารป้องกันกำจัดโรคพืชหรือแมลง ที่กรมวิชาการเกษตรแนะนำ และใช้ในปริมาณที่เหมาะสม
ควรศึกษาข้อมูลวิธีการใช้สารเคมีอย่างรอบคอบ ป้องกันอันตรายต่อตัวเองและสิ่งแวดล้อม
.
คำแนะนำเพิ่มเติม:
การดูแลต้นกล้วยให้แข็งแรง จะช่วยให้กล้วยต้านทานโรคและแมลงได้ดีขึ้น
การใช้สารชีวภัณฑ์ เช่น เชื้อราไตรโคเดอร์มา หรือ บิวเวอร์เรีย เป็นอีกทางเลือกหนึ่งในการควบคุมโรคและแมลงศัตรูพืช
ขอให้ป้องกันและแก้ไขปัญหาโรคและแมลงศัตรูกล้วยได้อย่างมีประสิทธิภาพ และได้ผลผลิตกล้วยที่ดี

(การที่แนะนำ 15-15-15 เพราะเป็นสูตรที่มีธาตุอาหารครบทั้ง 3 ชนิด ในปริมาณที่เท่ากัน #จึงเหมาะสำหรับเกษตรกรมือใหม่ ที่อาจยังไม่ทราบวิธีการผสมปุ๋ย และไม่แน่ใจว่าควรใช้สูตรใด
อย่างไรก็ตาม การใส่ปุ๋ยกล้วยน้ำว้าให้ได้ผลผลิตสูงสุด ควรพิจารณาความต้องการธาตุอาหารของกล้วยในแต่ละช่วงอายุ ดังที่ได้อธิบายไปแล้ว ซึ่งการใส่ปุ๋ยสูตรเฉพาะ จะช่วยให้ต้นกล้วยได้รับธาตุอาหารครบถ้วน และตรงกับความต้องการมากที่สุด ส่งผลให้กล้วยเจริญเติบโตได้ดี และให้ผลผลิตสูง)

วันเสาร์ที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2567

คู่มือการเลี้ยงปูนา สู่ความสำเร็จแบบมือใหม่

 คู่มือการเลี้ยงปูนา สู่ความสำเร็จแบบมือใหม่

สารบัญ
ทำไมต้องเลี้ยงปูนา?
รู้จักกับปูนา
การเตรียมบ่อเลี้ยง
การคัดเลือกพันธุ์และปล่อยเลี้ยง
เทคนิคการให้อาหาร
การดูแลจัดการบ่อเลี้ยง
โรคและศัตรู
การจับและการตลาด
คำถามที่พบบ่อย (Q&A)
ตัวอย่างการคำนวณต้นทุน-กำไร
แหล่งข้อมูลเพิ่มเติม
1. ทำไมต้องเลี้ยงปูนา?
แหล่งอาหารโปรตีนสูง
ความต้องการสูง ราคาดี
ลงทุนน้อย เลี้ยงง่าย
ใช้พื้นที่น้อย
2. รู้จักกับปูนา
ลักษณะ: กระดองสีดำ/น้ำตาล ก้ามใหญ่
ถิ่นที่อยู่: นาข้าว ทุ่งนา น้ำตื้น
อาหาร: พืช สัตว์เล็กๆ ซากสัตว์
พฤติกรรม: อยู่บนบกมากกว่าในน้ำ ออกหากินตอนกลางคืน
3. การเตรียมบ่อเลี้ยง
บ่อดิน: ขุดง่าย ลงทุนต่ำ (ลึก 1 เมตร มีร่มเงา)
บ่อปูน: แข็งแรง ควบคุมง่าย (ราคาสูงกว่า)
สิ่งสำคัญ:
ระบบน้ำ: น้ำสะอาด ไหลเวียนดี
ตาข่าย/รั้ว: ป้องกันปูนาหนี ศัตรูเข้า
พื้นที่ดิน: ให้ปูนาขึ้นมาพักผ่อน
4. การคัดเลือกพันธุ์และปล่อยเลี้ยง
เลือกปูนาจาก: แหล่งที่เชื่อถือได้ ปราศจากโรค
ลักษณะที่ดี: กระดองสมบูรณ์ แข็งแรง ขนาดใกล้เคียงกัน
ความหนาแน่น: 5-10 ตัว/ตารางเมตร
การปล่อย: ช่วงเย็น ปล่อยด้านเหนือลม
5. เทคนิคการให้อาหาร
ชนิดอาหาร:
สำเร็จรูป: สะดวก แต่ราคาสูง
อาหารสด: ไส้เดือน ปลาเล็ก ผัก ผลไม้
อาหารเสริม: เปลือกไข่ กระดองปลาหมึก (แคลเซียม)
ปริมาณ: 5-10% ของน้ำหนักตัว แบ่งให้ 2 มื้อ
สังเกต: ถ้าอาหารเหลือ ลดปริมาณลง
6. การดูแลจัดการบ่อเลี้ยง
ตรวจคุณภาพน้ำ: สัปดาห์ละ 2 ครั้ง
เปลี่ยนถ่ายน้ำ: เมื่อน้ำขุ่น มีกลิ่นเหม็น
กำจัดเศษอาหาร: ป้องกันน้ำเน่าเสีย
ตัดหญ้า กำจัดวัชพืช: รอบๆ บ่อ
7. โรคและศัตรู
โรค: โรคขี้ขาว โรคตับแข็ง
ศัตรู: นก หนู งู ปลาใหญ่
การป้องกัน: รักษาความสะอาด ใช้ตาข่าย
8. การจับและการตลาด
การจับ: ใช้สวิง ยกยอ
ช่วงเวลา: ตอนกลางคืน ปูนาออกหากิน
การตลาด:
ขายสด: ร้านอาหาร ตลาด
แปรรูป: ปูนาดอง น้ำปู
ขายออนไลน์: เพิ่มช่องทาง
9. คำถามที่พบบ่อย (Q&A)
Q: เลี้ยงปูนาแบบไหนดี?
A: ขึ้นอยู่กับงบประมาณ พื้นที่ และความสะดวก
Q: ปูนากินอะไร?
A: กินทั้งพืชและสัตว์ ดูข้อ 5
Q: ดูแลยังไงไม่ให้ปูนาตาย?
A: น้ำสะอาด อาหารเพียงพอ ป้องกันโรค ศัตรู
Q: เริ่มเลี้ยงกี่ตัวดี?
A: เริ่มจากจำนวนน้อย เพื่อทดลอง เรียนรู้
10. ตัวอย่างการคำนวณต้นทุน-กำไร
(ดูตัวอย่างในข้อความก่อนหน้า)
11. แหล่งข้อมูลเพิ่มเติม
กรมประมง
ศูนย์เรียนรู้การเลี้ยงสัตว์น้ำใกล้บ้านท่าน
คำแนะนำ: คู่มือนี้เป็นเพียงข้อมูลเบื้องต้น ควรศึกษาเพิ่มเติม และปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ ขอให้ประสบความสำเร็จในการเลี้ยงปูนา! 😊

  ปูนา สัตว์น้ำจืดชนิดหนึ่งที่พบได้ทั่วไปในประเทศไทย

ข้อมูลเกี่ยวกับปูนาให้คุณได้ เช่น
ลักษณะ: ปูนามีกระดองสีดำหรือสีน้ำตาลเข้ม มีก้ามใหญ่แข็งแรง ใช้สำหรับขุดรู และหาอาหาร
ถิ่นที่อยู่: พบได้ทั่วไปในนาข้าว ทุ่งนา บริเวณน้ำขัง หนอง บึง
อาหาร: ปูนากินพืชและสัตว์เล็กๆ เป็นอาหาร เช่น ไส้เดือน ลูกปลา แมลง
ความสำคัญ: ปูนาเป็นอาหารยอดนิยมของคนไทย นำมาทำอาหารได้หลากหลายเมนู เช่น ส้มตำปู ปูนาดอง นอกจากนี้ยังเป็นตัวช่วยกำจัดศัตรูพืชในนาข้าวอีกด้วย

....................................................

การเลี้ยงปูนาเพื่อการค้า กำลังเป็นที่นิยมมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะเป็นอาชีพที่ลงทุนน้อย แต่สร้างรายได้ดี
นี่คือวิธีการเลี้ยงปูนาเพื่อการค้าในเบื้องต้น:
1. การเตรียมบ่อเลี้ยง
บ่อปูน: แข็งแรง ดูแลง่าย แต่ลงทุนสูง
บ่อดิน: ขุดง่าย ลงทุนต่ำ แต่ต้องระวังเรื่องตลิ่งพัง และน้ำขุ่น
บ่อพลาสติก: เหมาะกับการเลี้ยงในพื้นที่จำกัด เคลื่อนย้ายสะดวก
สิ่งที่ควรคำนึงถึงในการทำบ่อ
ขนาด: ขึ้นอยู่กับปริมาณปูนาที่ต้องการเลี้ยง
ความลึก: อย่างน้อย 1 เมตร ป้องกันปูนาปีนหนี
ร่มเงา: ควรมีร่มเงา ปลูกพืชน้ำ เพื่อควบคุมอุณหภูมิ
ระบบน้ำ: น้ำต้องสะอาด มีการเปลี่ยนถ่ายน้ำ regularly
2. การคัดเลือกพันธุ์
เลือกปูนาที่แข็งแรง กระดองสมบูรณ์ ไม่แตกหัก
ขนาดใกล้เคียงกัน เพื่อป้องกันการกัดกันเอง
ควรเลือกปูนาจากแหล่งที่เชื่อถือได้
3. การให้อาหาร
อาหารเม็ดสำเร็จรูป: สะดวก แต่ต้นทุนสูง
อาหารสด: เช่น ไส้เดือน ลูกปลา กุ้งฝอย
ผัก ผลไม้: เช่น ใบผักบุ้ง กล้วยสุก
4. การดูแลรักษา
ตรวจสอบคุณภาพน้ำ regularly
กำจัดเศษอาหาร ป้องกันน้ำเน่าเสีย
สังเกตอาการป่วยของปูนา
5. การตลาด
ขายส่งให้กับร้านอาหาร แม่ค้าในตลาด
แปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ เช่น ปูนาดอง น้ำปู
ขายผ่านช่องทางออนไลน์
ข้อควรระวัง
ศึกษาข้อมูลการเลี้ยงปูนาอย่างละเอียด
ควบคุมคุณภาพ บริหารจัดการต้นทุน
หาตลาดรองรับผลผลิต
**นอกจากนี้ คุณสามารถขอคำแนะนำจากกรมประมง หรือ ศูนย์เรียนรู้การเลี้ยงปูนาใกล้บ้านคุณได้ **
การเลี้ยงปูนาเป็นอาชีพที่น่าสนใจ แต่ต้องอาศัยความรู้ ความขยัน และความอดทน ขอให้ประสบความสำเร็จในการเลี้ยงปูนานะคะ

..........................................

ถ้าจะเริ่มเลี้ยง ควรเริ่มเดือนไหน
....
การเริ่มเลี้ยงปูนาให้ประสบความสำเร็จขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย รวมถึงเดือนที่เริ่มเลี้ยงด้วย โดยทั่วไป ช่วงเวลาที่เหมาะสมในการเริ่มเลี้ยงปูนาคือ ช่วงต้นฤดูฝน ประมาณเดือนพฤษภาคม - มิถุนายน
เหตุผลที่ควรเริ่มเลี้ยงปูนาช่วงต้นฤดูฝน
สภาพแวดล้อมเหมาะสม:
มีฝนตกสม่ำเสมอ อากาศเย็น ความชื้นสูง เหมาะกับการดำรงชีวิตของปูนา
แหล่งน้ำตามธรรมชาติอุดมสมบูรณ์ หาอาหารได้ง่าย
ปูนาพร้อมผสมพันธุ์:
ช่วงต้นฤดูฝน ปูนาจะเริ่มผสมพันธุ์ ทำให้มีโอกาสได้ลูกปูนามากขึ้น
ลูกปูนาที่เกิดในช่วงนี้ จะแข็งแรง โตเร็ว
ราคาดี:
ปูนาเป็นที่ต้องการในช่วงฤดูฝน ราคาจึงค่อนข้างสูง
เริ่มเลี้ยงช่วงนี้ จะสามารถขายปูนาได้ราคาดี
ข้อควรระวัง
เตรียมบ่อให้พร้อม: ก่อนปล่อยปูนา ต้องมั่นใจว่าบ่อเลี้ยงมีความพร้อม น้ำสะอาด มีอาหาร และระบบป้องกันศัตรู
เลือกพันธุ์ปูนา: เลือกจากแหล่งที่เชื่อถือได้ ปูนาแข็งแรง ปราศจากโรค
ศึกษาข้อมูล: ก่อนเริ่มเลี้ยง ควรศึกษาข้อมูล เทคนิคการเลี้ยง การดูแล และการป้องกันโรค
**อย่างไรก็ตาม การเลี้ยงปูนาสามารถเลี้ยงได้ตลอดทั้งปี แต่ช่วงต้นฤดูฝนจะมีข้อได้เปรียบมากกว่า **

...........................................
การเลี้ยงปูนาในพื้นที่ดิน แล้วเอาตาข่ายล้อม ทำได้ไหม แบบทุงนา สัก 50 ตารางวา

...
การเลี้ยงปูนาในพื้นที่ดินแบบทุ่งนาขนาด 50 ตารางวา โดยใช้ตาข่ายล้อม สามารถทำได้ค่ะ แต่มีข้อควรพิจารณาและข้อควรระวังหลายอย่าง ดังนี้
ข้อดี
ลงทุนต่ำ: ใช้พื้นที่ที่มีอยู่แล้ว
จัดการง่าย: ใกล้เคียงกับธรรมชาติ
ปูนาแข็งแรง: เติบโตในสภาพแวดล้อมกึ่งธรรมชาติ
ข้อควรพิจารณา
ความลึกของดินและระดับน้ำ: ดินต้องอุ้มน้ำได้ดี มีระดับน้ำที่เหมาะสม ป้องกันปูนาหนี และศัตรู
ตาข่าย: ต้องแข็งแรง ทนทาน ป้องกันปูนาปีนหนี และศัตรูเข้า
การควบคุมศัตรู: เช่น นก หนู งู ต้องมีวิธีป้องกัน
การให้อาหาร: อาจกระจายอาหารได้ยาก
การจับ: ทำได้ยากกว่าบ่อ
ข้อควรระวัง
น้ำท่วม: ถ้าพื้นที่น้ำท่วมขังง่าย ปูนาอาจหนีไปได้ ต้องระวังเรื่องการระบายน้ำด้วย
สารเคมี: ถ้าพื้นที่โดยรอบใช้สารเคมีในการเกษตร อาจไหลลงมาปนเปื้อนในบ่อเลี้ยงได้
คำแนะนำเพิ่มเติม
ควรเริ่มจากพื้นที่เลี้ยงขนาดเล็กก่อน เพื่อทดลองและเรียนรู้ระบบนิเวศ
ปลูกพืชน้ำ เช่น ผักบุ้ง เพื่อเป็นร่มเงาและเป็นอาหาร
ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมจากกรมประมง หรือ ศูนย์เรียนรู้การเลี้ยงปูนา
การเลี้ยงปูนาในนาข้าวแบบนี้ ต้องอาศัยการดูแลเอาใจใส่ และควบคุมปัจจัยต่างๆ ให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม ถ้าทำได้ ก็จะเป็นแหล่งรายได้ที่ดีอีกทางหนึ่งค่ะ

.................................................................................


พื้นที่เลี้บง 50ตารางวา เป็นบ่อเท่าไร พื้นดินเท่าไร

.
การแบ่งสัดส่วนพื้นที่เลี้ยงปูนา 50 ตารางวา เป็นบ่อและพื้นดิน ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง เช่น
ความลาดเอียงของพื้นที่: ถ้าพื้นที่ลาดเอียง อาจต้องทำบ่อขนาดเล็กหลายๆ บ่อ
ความสะดวกในการดูแล: บ่อขนาดเล็กดูแลง่ายกว่า
งบประมาณ: การสร้างบ่อมีค่าใช้จ่ายสูงกว่า
ตัวอย่างการแบ่งพื้นที่ (เป็นแนวทาง)
แบบที่ 1: เน้นเลี้ยงในบ่อ
บ่อ: 40 ตารางวา (แบ่งเป็นบ่อขนาดเล็ก 2-4 บ่อ)
พื้นดิน: 10 ตารางวา (ปลูกพืช ร่มเงา เป็นพื้นที่จัดการ)
แบบที่ 2: เน้นเลี้ยงแบบธรรมชาติ
บ่อ: 20 ตารางวา (เป็นบ่อพักน้ำ หรือ แหล่งน้ำสำรอง)
พื้นดิน: 30 ตารางวา (ปรับพื้นที่ ปลูกพืช ทำร่องน้ำ)
ข้อแนะนำ
ควรออกแบบให้มีพื้นที่เดินตรวจสอบได้สะดวก
จัดระบบระบายน้ำ ป้องกันน้ำท่วมขัง
ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ หรือ ศึกษาจากฟาร์มเลี้ยงจริง
หมายเหตุ:
การแบ่งสัดส่วนนี้เป็นเพียงตัวอย่าง
ควรปรับให้เหมาะสมกับพื้นที่และรูปแบบการเลี้ยงที่ต้องการ

....................
ปูอยู่ในน้ำหรือบนดินมากกว่าในแต่ละวัน
 
ปูนา แม้จะเป็นสัตว์น้ำจืด แต่ใช้เวลาอยู่ บนดินมากกว่าในน้ำ ในแต่ละวันค่ะ
โดยทั่วไป ปูนาจะขึ้นมาบนบกในช่วงเย็นถึงกลางคืน เพื่อหาอาหาร ผสมพันธุ์ และหลบภัยจากศัตรูในน้ำ ส่วนช่วงกลางวันที่มีแดดร้อน ปูนาจะหลบอยู่ในรู บนพื้นดิน หรือในน้ำตื้นๆ เพื่อรักษาความชื้น
ดังนั้น ถ้าพูดถึงเวลาในแต่ละวัน ปูนาจะอยู่บนดินมากกว่าในน้ำค่ะ 😊


.....................

อาหารของปูนา คืออะไร

.....
ปูนาเป็นสัตว์กินไม่เลือก (omnivore) อาหารของปูนาจึงมีความหลากหลาย กินได้ทั้งพืชและสัตว์
อาหารของปูนา
พืช:
ส่วนต่างๆ ของต้นข้าว: ใบอ่อน ราก
พืชน้ำ: สาหร่าย ผักบุ้ง
ผลไม้: กล้วยสุก มะละกอสุก
สัตว์:
สัตว์น้ำขนาดเล็ก: ลูกปลา กุ้งฝอย แมลงน้ำ
ซากสัตว์: ซากปลา ซากกบ
ไส้เดือน: เป็นอาหารโปรตีนสูงที่ปูนาชื่นชอบ
ปัจจัยที่มีผลต่ออาหารปูนา
ช่วงอายุ: ลูกปูนาต้องการอาหารโปรตีนสูง
สภาพแวดล้อม: อาหารตามธรรมชาติ
การเลี้ยง: อาหารที่จัดหาให้
ข้อสังเกต
ปูนากินอาหารได้ทั้งกลางวันและกลางคืน แต่จะกินมากในช่วงค่ำ
อาหารที่หลากหลาย จะช่วยให้ปูนาแข็งแรง โตไว

.................

หลักการให้อาหาร ใหแบบไหน

 
การให้อาหารปูนามีหลักการสำคัญ คือ "เพียงพอ หลากหลาย และสะอาด" เพื่อให้ปูนาแข็งแรง โตเร็ว และป้องกันน้ำเสีย
วิธีการให้อาหารปูนา
1. เลือกชนิดอาหารให้เหมาะสม
อาหารสำเร็จรูป: สะดวก ควบคุมคุณภาพได้ง่าย แต่ราคาสูง
เลือกสูตรที่เหมาะกับช่วงอายุ (ลูกปูนา/ปูนาโต)
ปริมาณโปรตีน 30-35%
อาหารสด: ราคาถูก ใกล้เคียงธรรมชาติ
ผัก ผลไม้ สับเป็นชิ้นเล็กๆ
ไส้เดือน กุ้งฝอย
กระจายให้ทั่วถึง
อาหารเสริม: เพิ่มแคลเซียม
เปลือกไข่บด
กระดองปลาหมึก
2. กำหนดปริมาณและเวลา
ปริมาณ: 5-10% ของน้ำหนักตัวปูนาต่อวัน (ปรับตามชนิดอาหาร)
แบ่งให้: 2 มื้อ เช้า-เย็น
สังเกต: ถ้าอาหารเหลือ ลดปริมาณลง
3. จัดการพื้นที่ให้อาหาร
ภาชนะ: ใช้ถาด/บ่อปูน ทำความสะอาดง่าย
บริเวณ: น้ำตื้น ปูนาขึ้นมากินง่าย
กำจัดเศษอาหาร: ป้องกันน้ำเน่าเสีย
ข้อควรระวัง
ห้ามให้อาหารเน่าเสีย: ทำให้ปูนาป่วยได้
หลีกเลี่ยงอาหารรสจัด: เป็นอันตรายต่อปูนา
ควบคุมคุณภาพน้ำ: เปลี่ยนถ่ายน้ำเป็นประจำ
การให้อาหารที่ถูกต้องเป็นหัวใจสำคัญของการเลี้ยงปูนา ใส่ใจในรายละเอียด รับรองว่าปูนาของคุณจะโตไว แข็งแรง สร้างรายได้งามแน่นอนค่ะ 😊

.................
รายจ่ายเริ่มต้นในการเลี้ยง โดยประมาณ ราคาขายทั่วไป ต้นทุนและกำไร ที่คาดว่าจะได้ ลองคำนวนคร่าวๆ
.
ประเมินรายจ่ายเริ่มต้น ต้นทุน กำไร การเลี้ยงปูนา (คร่าวๆ)
สมมติฐาน
เลี้ยงแบบบ่อดิน ขนาดเล็ก 50 ตารางวา
ปล่อยปูนา 200 กิโลกรัม (ความหนาแน่นปานกลาง)
ระยะเวลาเลี้ยง 4-5 เดือน
1. รายจ่ายเริ่มต้น (ครั้งเดียว)


3. รายรับ (ประมาณ)
สมมติปูนาที่จับขายได้ 150 กิโลกรัม (75% ของที่ปล่อย)
ราคาขายเฉลี่ย 150 บาท/กิโลกรัม
รายรับ = 150 กก. x 150 บาท/กก. = 22,500 บาท
4. กำไร (ประมาณ)
กำไร = รายรับ - ต้นทุน = 22,500 - 33,000 = -10,500 บาท
สรุป
จากการคำนวณคร่าวๆ การเลี้ยงปูนาในครั้งแรก อาจจะ "ขาดทุน" เนื่องจากมี "รายจ่ายเริ่มต้น" สูง
ปัจจัยที่ส่งผลต่อกำไร
ราคาปูนา: ราคาขายส่ง/ขายปลีก ฤดูกาล
อัตราการรอด: โรค ศัตรู การจัดบ่อ
ต้นทุนอาหาร: สูตรอาหาร แหล่งที่มา
ระยะเวลาเลี้ยง: ขนาดปูนาที่ต้องการขาย
คำแนะนำ
ศึกษาข้อมูลการเลี้ยงอย่างละเอียด
ควบคุมต้นทุน หาแหล่งซื้อพันธุ์/อาหารราคาถูก
เพิ่มช่องทางการขาย เช่น แปรรูป ขายออนไลน์
หมายเหตุ: ตัวเลขทั้งหมดเป็นการประมาณการ ผลลัพธ์จริงอาจแตกต่างกันไป ควรใช้ข้อมูลนี้เป็นแนวทางเบื้องต้นเท่านั้น

........
การตลาดปูนา มีหลายช่องทางที่น่าสนใจ ขึ้นอยู่กับ
ปริมาณผลผลิต: เลี้ยงมากน้อยแค่ไหน
กลุ่มเป้าหมาย: ต้องการขายใคร
ความสามารถในการจัดการ: ทำอะไรได้บ้าง
แนวทางการตลาดปูนา
1. เน้นขายส่ง (ปริมาณมาก)
เป้าหมาย: พ่อค้าคนกลาง ร้านอาหาร
ข้อดี: ขายได้จำนวนมาก ราคาต่อหน่วยต่ำกว่า
ข้อจำกัด: กำไรต่อหน่วยน้อย อาจโดนกดราคา
สิ่งที่ต้องทำ: หาลูกค้าประจำ ตกลงราคา การขนส่ง
2. เน้นขายปลีก (ปริมาณน้อย-ปานกลาง)
เป้าหมาย: ผู้บริโภคโดยตรง
ช่องทาง:
ตลาดสด: เช่าแผง ขายเอง
ฝากขาย: ร้านค้า แผงอาหาร
ออนไลน์: Facebook, Line, แอพฯ ส่งอาหาร
ข้อดี: กำไรต่อหน่วยสูงกว่า
ข้อจำกัด: ขายได้จำนวนน้อย ต้องทำการตลาด
3. เพิ่มมูลค่า แปรรูป
ผลิตภัณฑ์:
ปูนาดอง
น้ำปู
ปูจ๋า
ข้าวเกรียบปู
ข้อดี: ราคาสูงขึ้น เก็บรักษาได้นาน
ข้อจำกัด: ลงทุนเพิ่ม ความรู้ การตลาด
4. สร้างแบรนด์ (ระยะยาว)
จุดเด่น: ปูนาออร์แกนิค เลี้ยงแบบธรรมชาติ
บรรจุภัณฑ์: สวยงาม สะดุดตา
ช่องทาง: ร้านค้าเฉพาะ ออนไลน์
ข้อดี: ราคาสูง ฐานลูกค้าชัดเจน
ข้อจำกัด: ใช้เวลา การตลาด ควบคุมคุณภาพ
คำแนะนำ:
เริ่มจากง่าย ไปหายาก: ขายส่ง/ปลีก ก่อนแล้วค่อยแปรรูป
สำรวจตลาด: ราคา ความต้องการ คู่แข่ง
สร้างความแตกต่าง: คุณภาพ บริการ ช่องทางขาย
ใช้สื่อออนไลน์: ประชาสัมพันธ์ เข้าถึงลูกค้า
การตลาดที่ดี คือการตอบโจทย์ลูกค้า และสร้างกำไรอย่างยั่งยืน ขอให้ประสบความสำเร็จในการขายปูนานะคะ

.............................


ปูนาดอง เป็นเมนูยอดนิยม รสชาติแซ่บ ทำง่าย เก็บไว้กินได้นาน
วิธีทำปูนาดอง
ส่วนผสม
ปูนาสด 1 กิโลกรัม
เกลือเม็ด 1/2 ถ้วย
น้ำสะอาด
ขวดแก้ว/โหลแก้ว (ลวกน้ำร้อนฆ่าเชื้อแล้ว)
วิธีทำ
ล้างปูนา:
แช่ปูนาในน้ำสะอาด 3-4 น้ำ เพื่อล้างดินโคลน
หรือ แช่น้ำเกลืออ่อนๆ ช่วยให้ปูนาคายของเสีย
ฆ่าเชื้อ:
นำปูนาไปแช่ในน้ำเกลือเข้มข้น ประมาณ 30 นาที
หรือ ลวกปูนาในน้ำเดือด 1-2 นาที
เตรียมน้ำดอง:
ผสมน้ำสะอาดกับเกลือ คนให้ละลาย
ชิมรสชาติ ให้เค็มนำ (ป้องกันการเน่าเสีย)
ดองปูนา:
เรียงปูนาในภาชนะที่เตรียมไว้
เทน้ำดองให้ท่วมปูนา
ปิดฝาให้สนิท
หมัก:
ดองไว้ในตู้เย็น อย่างน้อย 3-5 วัน
น้ำดองจะเปลี่ยนสี เนื้อปูนาจะเริ่มแข็งตัว
เคล็ดลับ
เลือกปูนาที่สด แข็งแรง
ใช้เกลือเม็ด ไม่ใช้เกลือไอโอดีน (ทำให้ขุ่น)
น้ำดองที่เค็ม ช่วยยืดอายุการเก็บรักษา
หมักยิ่งนาน ยิ่งอร่อย (แต่ไม่ควรเกิน 2 สัปดาห์)
ข้อควรระวัง
ปูนาดองที่เน่าเสีย จะมีกลิ่นเหม็น น้ำขุ่น เนื้อเละ
ไม่ควรกินปูนาดองดิบ ควรลวก/นึ่ง ให้สุกก่อน
เมนูจากปูนาดอง
ส้มตำปูนาดอง
ยำปูนาดอง
แกงส้มปูนาดอง
ปูนาดอง เป็นเมนูที่ทำง่าย อร่อย เก็บไว้กินได้นาน ลองทำดูนะคะ


........................
น้ำปู เป็นเครื่องปรุงรสเด็ด ที่ให้กลิ่นหอม รสชาติกลมกล่อม นิยมใช้ในอาหารอีสานและอาหารไทยหลายเมนู
วิธีทำน้ำปู
ส่วนผสม
ปูนาดอง 1 กิโลกรัม
เกลือป่น 1 ช้อนโต๊ะ
น้ำต้มสุก 1/2 ถ้วย (ปรับได้)
ใบเตย 2-3 ใบ
วิธีทำ
เตรียมปูนาดอง:
ล้างปูนาดองด้วยน้ำสะอาด 2-3 ครั้ง
แกะกระดองปูนาออก (เก็บไว้ทำเมนูอื่น)
โขลก/ปั่น:
นำเนื้อปูนาดอง เกลือ และน้ำต้มสุก ใส่ครก/เครื่องปั่น
โขลก/ปั่นให้ละเอียด เข้ากันดี
กรอง:
ใช้ผ้าขาวบาง กรองน้ำปู ลงในชามผสม
บีบคั้น ให้ได้น้ำปู มากที่สุด
เคี่ยว:
เทน้ำปูที่กรองแล้ว ลงในหม้อ
ใส่ใบเตยลงไป เพื่อดับกลิ่นคาว
เคี่ยวด้วยไฟอ่อน จนน้ำปูเดือด และข้นขึ้น
พักให้เย็น:
ตักน้ำปูใส่ขวดแก้ว/โหลแก้ว (ลวกน้ำร้อนฆ่าเชื้อแล้ว)
ปิดฝาให้สนิท เก็บไว้ในตู้เย็น
เคล็ดลับ
ปูนาดองที่ใหม่ จะมีรสชาติเค็ม ไม่ต้องใส่เกลือเพิ่มมาก
ใบเตย ช่วยดับกลิ่นคาว และเพิ่มความหอม
เคี่ยวนาน น้ำปูจะข้น และเก็บได้นานขึ้น
น้ำปูที่ดี จะมีสีน้ำตาลเข้ม ข้น ไม่เหลวเป็นน้ำ
ข้อควรระวัง
รักษาความสะอาด ภาชนะ และอุปกรณ์
น้ำปูที่เสีย จะมีกลิ่นเหม็น ขึ้นรา
เมนูจากน้ำปู
ส้มตำปูปลาร้า
แกงเห็ดใส่ปลาร้า
หลนปู
น้ำปู เป็นเครื่องปรุงรส ที่ช่วยเพิ่มรสชาติ และกลิ่นหอม ให้กับอาหาร ลองทำดูนะคะ

.....................

ปูจ๋า เป็นเมนูอาหารว่าง หรือกับข้าว ที่ทำจากเนื้อปู ปรุงรส นึ่งจนสุก หอมกลิ่นพริกไทย
วิธีทำปูจ๋า
ส่วนผสม
เนื้อปูนึ่งสุก 1 ถ้วย (แกะเอาแต่เนื้อ)
หมูสับ 1/2 ถ้วย
ไข่ไก่ 2 ฟอง
รากผักชี 3-4 ราก (สับละเอียด)
กระเทียม 5-6 กลีบ (สับละเอียด)
พริกไทยดำ 1 ช้อนชา (โขลกหยาบ)
น้ำปลา 1 ช้อนโต๊ะ
น้ำตาลทราย 1/2 ช้อนโต๊ะ
ใบมะกรูด 5-6 ใบ (ซอยละเอียด)
พริกชี้ฟ้าแดง (หั่นฝอย สำหรับแต่งหน้า)
ใบผักกาดขาว (สำหรับรองนึ่ง)
วิธีทำ
ผสมส่วนผสม: นำเนื้อปู หมูสับ ไข่ไก่ รากผักชี กระเทียม พริกไทย น้ำปลา น้ำตาลทราย และใบมะกรูดซอย ใส่ในชามผสม
โขลก/ผสม: ใช้สาก/ทัพพี โขลกเบาๆ ให้ส่วนผสมเข้ากันดี หรือใช้เครื่องบดสับ (ไม่ต้องละเอียดมาก)
เตรียมนึ่ง:
ตัดใบผักกาดขาว รองในลังถึง
ตักส่วนผสมปู วางบนใบผักกาดขาว
โรยหน้าด้วยพริกชี้ฟ้าแดง (เพื่อความสวยงาม)
นึ่ง: ตั้งน้ำในลังถึงให้เดือด นำปูจ๋าขึ้นนึ่ง ใช้ไฟกลาง ประมาณ 20-25 นาที จนสุก
จัดเสิร์ฟ: ตักปูจ๋า จัดใส่จาน ทานคู่กับน้ำจิ้มซีฟู้ด หรือซอสพริก
เคล็ดลับ
เนื้อปู: ใช้ปูนึ่ง หรือปูดอง (ล้างน้ำก่อน)
หมูสับ: ช่วยเพิ่มความนุ่ม
ไข่ไก่: ช่วยให้ปูจ๋า อยู่ตัว
พริกไทย: ใส่เยอะ จะหอม และเผ็ดร้อน
ใบมะกรูด: เพิ่มความหอม
นึ่ง: ใช้ไฟกลาง ไม่แรงเกินไป ปูจ๋าจะไม่แตก
ปูจ๋า เป็นเมนูที่ทำไม่ยาก เหมาะสำหรับทำกินเอง หรือทำขาย ลองทำดู


.........................
นอกจากปูนาดอง น้ำปู และปูจ๋าแล้ว ยังมีผลิตภัณฑ์แปรรูปจากปูอีกหลายอย่างที่น่าสนใจและทำตลาดได้จริง โดยเน้นความแปลกใหม่ สะดวก และเก็บรักษาได้นาน
ตัวอย่างผลิตภัณฑ์แปรรูปจากปู ที่น่าสนใจ
1. ของกินเล่น/อาหารทานง่าย
ปูอัด: ปรับสูตรจากเนื้อปลา ผสมเนื้อปู เพิ่มรสชาติ (แบบแท่ง แบบแผ่น)
ข้าวเกรียบปู: ผสมเนื้อปูในแป้งข้าวเกรียบ เพิ่มรสชาติ กลิ่นหอม
ปูแผ่นอบกรอบ: เนื้อปูปรุงรส อบหรือทอดกรอบ คล้ายสาหร่าย
ลูกชิ้นปู: นำเนื้อปูมาผสมกับส่วนผสมลูกชิ้น เพิ่มรสชาติและความแปลกใหม่
ขนมปังไส้ปู: เมนูทานง่าย
ปูผัดพริกขี้หนูบรรจุกระป๋อง: พร้อมทาน
2. ผลิตภัณฑ์ปรุงรส
น้ำพริกปู: สูตรน้ำพริกต่างๆ ผสมเนื้อปู
ผงปรุงรสปู: โรยอาหาร เพิ่มรสชาติ
น้ำซุปสกัดเข้มข้น: จากเปลือกปู
3. ผลิตภัณฑ์แช่แข็ง
เนื้อปูก้อน แช่แข็ง: สะดวก ใช้ปรุงอาหาร
ปูม้า/ปูดำ นึ่งแช่แข็ง: พร้อมทาน/ปรุงสุก
4. ผลิตภัณฑ์อื่นๆ
ปุ๋ยอินทรีย์จากเปลือกปู: สำหรับเกษตรกร
อาหารสัตว์จากเปลือกปู: โปรตีนสูง
เคล็ดลับสู่ความสำเร็จ
ศึกษาความต้องการตลาด: กลุ่มเป้าหมาย รสชาติ ราคา
สร้างจุดเด่น: รสชาติ วัตถุดิบ บรรจุภัณฑ์ เรื่องราว
ควบคุมคุณภาพ: ความสะอาด รสชาติ มาตรฐาน
ช่องทางการจัดจำหน่าย: ออนไลน์ ร้านค้า
ทำการตลาด: ประชาสัมพันธ์ โปรโมชั่น
การแปรรูป เป็นการเพิ่มมูลค่า และยืดอายุ ให้กับผลผลิต ขอให้ประสบความสำเร็จในการทำตลาด
.......................................














วันอังคารที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2567

เทคนิคการเลี้ยงอึ่งอ่าง ตั้งแต่สร้างคอก ยันการดูแลแบบครบวงจร!

 เทคนิคการเลี้ยงอึ่งอ่าง ตั้งแต่สร้างคอก ยันการดูแลแบบครบวงจร!

การเลี้ยงอึ่งอ่างเชิงพาณิชย์ ต้องอาศัยความรู้ ความเข้าใจ และความเอาใจใส่ เพื่อให้ได้ผลผลิตที่ดี และถูกกฎหมาย

1. การขออนุญาต:

สำคัญที่สุด! ต้องขออนุญาตเพาะเลี้ยงสัตว์ป่าคุ้มครอง จากกรมประมง ก่อนเริ่มดำเนินการ

2. การสร้างคอกเลี้ยง:

บ่อซีเมนต์: แข็งแรง ทำความสะอาดง่าย ขนาดตามความเหมาะสม (1x2 เมตร ลึก 50 ซม. เลี้ยงได้ประมาณ 500 ตัว)
บ่อดิน: ลงทุนต่ำ แต่อาจควบคุมคุณภาพน้ำยากกว่า ควรมีการระบายน้ำที่ดี
บ่อพลาสติก: เคลื่อนย้ายสะดวก เหมาะกับการเลี้ยงในพื้นที่จำกัด
สิ่งแวดล้อม: ร่มรื่น อากาศถ่ายเทดี เงียบสงบ ใกล้แหล่งน้ำสะอาด

3. การคัดเลือกพ่อแม่พันธุ์:

แหล่งที่มา: ต้องถูกกฎหมาย เช่น ฟาร์มที่ได้รับอนุญาต
ลักษณะดี: ตัวโต สมบูรณ์ แข็งแรง ไม่พิการ
อัตราส่วน: เพศผู้ 1 ตัว ต่อ เพศเมีย 2-3 ตัว

4. การผสมพันธุ์:

กระตุ้นการผสม: ฉีดน้ำ หรือ ลดระดับน้ำในบ่อ เลียนแบบฤดูฝน
วางไข่: อึ่งอ่างจะวางไข่ในน้ำ เป็นแพ
แยกไข่: นำไข่ไปอนุบาลในบ่อ หรือ ภาชนะ ที่เตรียมไว้

5. การอนุบาลลูกอ๊อด:

น้ำสะอาด: เปลี่ยนถ่ายน้ำทุกวัน
อาหาร: ไรแดง ไข่แดงต้มสุก อาหารเม็ดสำหรับลูกอ๊อด
ความหนาแน่น: ไม่ควรหนาแน่นเกินไป

6. การเลี้ยงอึ่งอ่าง:

ให้อาหาร: จิ้งหรีด หนอนนก แมลง
น้ำสะอาด: เปลี่ยนถ่ายน้ำ 2-3 วัน/ครั้ง
ควบคุมอุณหภูมิ: ประมาณ 25-30 องศา
ป้องกันโรค: รักษาความสะอาด สังเกตอาการผิดปกติ

7. การจับจำหน่าย:

ขนาด: จับขายเมื่ออายุ 4-6 เดือน หรือ ขนาดตามต้องการ
ช่องทาง: ตลาดสด ร้านอาหาร พ่อค้าคนกลาง

ข้อควรระวัง:

โรคระบาด: ศึกษาการป้องกัน และรักษา
คุณภาพน้ำ: สำคัญมาก
อาหาร: ต้องสะอาด และมีคุณค่า
การจัดการ: ต้องเอาใจใส่ และเรียนรู้ตลอดเวลา

การเลี้ยงอึ่งอ่าง ต้องอาศัยความรู้ ประสบการณ์ และความอดทน ขอให้ประสบความสำเร็จครับ!
😄.......................................................................................................





อึ่งอ่าง เป็นสัตว์ป่าคุ้มครองตามกฎหมาย

 อึ่งอ่าง เป็นสัตว์ป่าคุ้มครองตามกฎหมาย

พระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. 2562 กำหนดให้อึ่งอ่างทุกชนิด เป็นสัตว์ป่าคุ้มครอง ซึ่งหมายความว่า:

ห้ามล่า: ห้ามมิให้ผู้ใดล่า ค้า ครอบครอง เพาะพันธุ์ โดยไม่ได้รับอนุญาต

ห้ามขาย: ห้ามมิให้นำเข้า ส่งออก ซึ่งซากหรือส่วนใดส่วนหนึ่งของอึ่งอ่าง

การเลี้ยงอึ่งอ่างอย่างถูกกฎหมาย:

ขออนุญาต: ต้องขออนุญาตเพาะพันธุ์สัตว์ป่าคุ้มครอง จากกรมประมง หรือ หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

แหล่งที่มา: พ่อแม่พันธุ์ ต้องมาจากแหล่งที่ถูกกฎหมาย เช่น ฟาร์มที่ได้รับอนุญาต

บทลงโทษ:

ผู้ฝ่าฝืน มีโทษปรับ จำคุก หรือทั้งจำทั้งปรับ







ารเลี้ยงปลา กับ ปลูกพืช ต่างก็มีข้อดี ข้อเสีย

 





การเลี้ยงปลา กับ ปลูกพืช ต่างก็มีข้อดี ข้อเสีย และความท้าทายที่แตกต่างกันไปครับ การจะบอกว่าอะไรดีกว่ากัน คงตอบแบบฟันธงไม่ได้ เพราะขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง เช่น

ทรัพยากร: คุณมีอะไรอยู่บ้าง? เช่น ที่ดิน แหล่งน้ำ ทุน
ความรู้และประสบการณ์: คุณถนัดด้านไหนมากกว่า?
ความต้องการของตลาด: สินค้าอะไรเป็นที่ต้องการ ราคาดี
ความชอบส่วนตัว: คุณรักและสนใจอะไรมากกว่า?


เปรียบเทียบข้อดี-ข้อเสีย แบบคร่าวๆ:

ปัจจัย เลี้ยงปลา ปลูกพืช
เงินลงทุน ค่อนข้างสูง (บ่อ ระบบน้ำ พันธุ์ปลา อาหาร) ต่ำกว่า (บางชนิด)

ระยะเวลาคืนทุน
ขึ้นอยู่กับชนิดปลา บางชนิดโตเร็ว บางชนิดช้า แตกต่างกันมาก บางชนิดเก็บเกี่ยวเร็ว บางชนิดใช้เวลานาน

ความเสี่ยง
สูง (โรคระบาด คุณภาพน้ำ ราคาผันผวน) ปานกลาง (ภัยธรรมชาติ โรคพืช ราคาผันผวน)

แรงงาน
น้อยกว่า อาจต้องใช้แรงงานมาก

ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
อาจส่งผลกระทบ หากจัดการไม่ดี (น้ำเสีย) น้อยกว่า

สรุป:

เลี้ยงปลา: ลงทุนสูงกว่า คืนทุนเร็วกว่า แต่มีความเสี่ยงสูงกว่า

ปลูกพืช: ลงทุนต่ำกว่า ความเสี่ยงปานกลาง แต่ระยะเวลาคืนทุน และกำไร ขึ้นอยู่กับชนิดพืช

คำแนะนำ:

ศึกษาข้อมูล: ทั้งสองอย่าง ก่อนตัดสินใจ ต้องศึกษาให้ละเอียด
เริ่มจากเล็กๆ: ลองเลี้ยง หรือ ปลูก ในปริมาณน้อยก่อน
ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ: ขอคำแนะนำจากกรมประมง กรมวิชาการเกษตร หรือ เกษตรกรที่มีประสบการณ์
ไม่มีอะไรดีกว่ากัน ขึ้นอยู่กับความเหมาะสมครับ 😊










วันจันทร์ที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2567

การเลือกพันธุ์ข้าวสำหรับปลูกในพื้นที่ภาคเหนือตอนล่างและภาคกลางตอนบนนั้

 การเลือกพันธุ์ข้าวสำหรับปลูกในพื้นที่ภาคเหนือตอนล่างและภาคกลางตอนบนนั้น ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัยครับ เช่น สภาพดินฟ้าอากาศ ระบบน้ำ แหล่งน้ำ และความต้องการของตลาด

ขอแนะนำพันธุ์ข้าวที่น่าสนใจแบ่งตามประเภทดังนี้ครับ
1. ข้าวเจ้า
  • กข43: เหมาะกับพื้นที่นาชลประทานและนาดอน น้ำน้อย ทนแล้ง ปลูกได้ตลอดปี ให้ผลผลิตสูง ต้านทานโรคไหม้และเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาล
  • กข79: เหมาะกับพื้นที่นาชลประทาน ให้ผลผลิตสูง ต้านทานโรคไหม้ โรคขอบใบแห้ง และเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาล
  • RD73: เหมาะกับพื้นที่นาชลประทาน ให้ผลผลิตสูง ต้านทานโรคไหม้ โรคใบจุดสีน้ำตาล และเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาล
  • สุพรรณบุรี 90: เหมาะกับพื้นที่นาชลประทานและนาดอน ให้ผลผลิตสูง ต้านทานโรคไหม้ โรคใบจุดสีน้ำตาล
  • หอมปทุมธานี 1: เหมาะกับพื้นที่นาชลประทาน ให้ผลผลิตปานกลาง มีกลิ่นหอม
2. ข้าวเหนียว
  • สกลนคร 80: เหมาะกับพื้นที่นาชลประทานและนาดอน ให้ผลผลิตสูง ต้านทานโรคไหม้ โรคใบขีดสีน้ำตาล
  • กข 6: เหมาะกับพื้นที่นาชลประทาน ให้ผลผลิตสูง ต้านทานโรคไหม้ โรคใบจุดสีน้ำตาล
  • เหนียวสันป่าตอง 1: เหมาะกับพื้นที่นาชลประทานและนาดอน ให้ผลผลิตปานกลาง มีกลิ่นหอม
ข้อควรพิจารณาเพิ่มเติม:

ฤดูกาลปลูก: พันธุ์ข้าวแต่ละพันธุ์เหมาะสมกับการปลูกในฤดูที่แตกต่างกัน

ความต้องการของตลาด: ควรเลือกปลูกพันธุ์ข้าวที่ตลาดต้องการ

ปรึกษาเจ้าหน้าที่: ควรสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมจากกรมส่งเสริมการเกษตร หรือหน่วยงานเกษตรในพื้นที่

หมายเหตุ: ข้อมูลพันธุ์ข้าวที่กล่าวมาเป็นเพียงตัวอย่างเบื้องต้นเท่านั้น ควรศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมและเลือกพันธุ์ข้าวที่เหมาะสมกับพื้นที่และความต้องการของตนเองมากที่สุด



เพลี้ยกระโดดตัวร้าย! ดูดน้ำเลี้ยงจนใบมะเขือเหี่ยวเฉา

  เพลี้ยกระโดดตัวร้าย! ดูดน้ำเลี้ยงจนใบมะเขือเหี่ยวเฉาแบบนี้ ต้องจัดการอย่างเด็ดขาด แต่ไม่ต้องห่วง เรามีวิธีธรรมชาติกำราบเพลี้ยกระโดดแบบไม่ง้อสารเคมีมาฝาก 💪

1. น้ำแรงดันสูง: วิธีง่ายๆ แต่อาจต้องออกแรงกันหน่อย ใช้สายยางฉีดน้ำแรงดันสูง ฉีดพ่นบริเวณที่มีเพลี้ยกระโดดเกาะอยู่ เพลี้ยจะกระเด็นหลุดออกจากต้น 🚿

2. กับดักกาวเหนียว: เหมือนกับวิธีจัดการแมลงหวี่ขาวเลย เพลี้ยกระโดดก็ติดกับดักกาวเหนียวสีเหลืองได้เช่นกัน นำแผ่นกาวไปแขวนไว้รอบๆ ต้นมะเขือ เพลี้ยกระโดดที่บินมาติดกับดักจะไม่สามารถไปทำลายต้นมะเขือได้อีก
🪤

3. สเปรย์น้ำมันพืช: ผสมน้ำมันพืช 2 ช้อนโต๊ะ กับน้ำยาล้างจาน 2 ช้อนชา ผสมกับน้ำ 1 ลิตร เขย่าให้เข้ากัน แล้วนำไปฉีดพ่นบริเวณที่มีเพลี้ยกระโดดเกาะอยู่ สเปรย์นี้จะไปเคลือบตัวเพลี้ยทำให้หายใจไม่ออก
🌿

4. สเปรย์กระเทียมพริก: ตำกระเทียม 5-6 กลีบ ผสมกับพริกสด 2-3 เม็ด เติมน้ำ 1 ลิตร แช่ทิ้งไว้ 1 คืน กรองเอาแต่น้ำ นำไปฉีดพ่นบริเวณที่มีเพลี้ยกระโดด กลิ่นฉุนของกระเทียมและพริกจะช่วยไล่เพลี้ยกระโดดได้
🧄🌶️

5. ปลูกพืชไล่แมลง: ปลูกพืชที่มีกลิ่นฉุนที่เพลี้ยกระโดดไม่ชอบ เช่น ดาวเรือง โหระพา ตะไคร้หอม สะระแหน่ ไว้รอบๆ ต้นมะเขือ เพื่อป้องกันไม่ให้เพลี้ยกระโดดเข้ามาใกล้
💐

6. ดึงดูดแมลงศัตรูธรรมชาติ: เชื้อเชิญแมลงตัวห้ำ เช่น แมลงเต่าทอง แมลงปอ มาช่วยกำจัดเพลี้ยกระโดด โดยปลูกดอกไม้ที่แมลงเหล่านี้ชอบ เช่น ดอกดาวกระจาย ดอกเข็ม
🌸🐞

ข้อควรระวัง:

  • ควรฉีดพ่นในช่วงเช้าหรือเย็น แสงแดดจัดอาจทำให้ใบมะเขือไหม้ได้
  • ไม่ควรฉีดพ่นสมุนไพรหรือสารละลายใดๆ ในช่วงที่มะเขือยาวกำลังออกดอก เพราะอาจทำให้ดอกร่วงได้
  • อย่าลืมหมั่นตรวจดูต้นมะเขือของคุณอย่างสม่ำเสมอ หากพบเพลี้ยกระโดด รีบจัดการทันที เพื่อไม่ให้ลุกลามใหญ่โต และได้ผลผลิตมะเขือที่สวยงาม ปลอดภัย ไร้สารพิษ 👍

การกำจัดแมลงหวี่ขาวด้วยสมุนไพร

 การกำจัดแมลงหวี่ขาวด้วยสมุนไพรและสารบ้านๆ เป็นวิธีที่ปลอดภัยต่อทั้งคนปลูกและสิ่งแวดล้อม ลองใช้วิธีต่อไปนี้ดูนะ 😊

1. ฉีดพ่นไล่แมลงหวี่ขาวด้วยสมุนไพร:
  • สะเดา: ต้มใบสะเดา 1 กิโลกรัม กับน้ำ 10 ลิตร ประมาณ 20-30 นาที ทิ้งไว้ให้เย็น ผสมน้ำสบู่เล็กน้อย แล้วนำไปฉีดพ่นให้ทั่ว
  • ตะไคร้หอม: หั่นตะไคร้หอม 1 กิโลกรัม แช่น้ำ 10 ลิตร 1 คืน นำไปต้มให้เดือด ทิ้งไว้ให้เย็น ผสมน้ำสบู่เล็กน้อย แล้วนำไปฉีดพ่น
  • ใบยาสูบ: แช่ใบยาสูบแห้ง 100 กรัม กับน้ำ 10 ลิตร 1 คืน กรองเอาแต่น้ำ ผสมน้ำสบู่ แล้วนำไปฉีดพ่น
  • กระเทียม: โขลกกระเทียม 100 กรัม ผสมน้ำ 5 ลิตร หมักไว้ 1 คืน กรองเอาแต่น้ำ ผสมน้ำสบู่เล็กน้อย แล้วนำไปฉีดพ่น
2. กับดักล่อแมลงหวี่ขาว:
  • กับดักกาวเหนียวสีเหลือง: แมลงหวี่ขาวมักจะชอบสีเหลือง นำแผ่นกาวเหนียวสีเหลืองมาแขวนไว้บริเวณที่พบแมลง
  • ขวดน้ำผสมน้ำหวาน: เจาะรูขนาดพอเหมาะที่ขวดน้ำ ใส่น้ำหวานหรือน้ำเชื่อมผสมน้ำ แขวนไว้บริเวณที่พบแมลง
3. ดูแลต้นมะเขือยาวให้แข็งแรง:
  • รดน้ำอย่างสม่ำเสมอ: อย่าให้ดินแฉะเกินไป เพราะจะทำให้รากเน่า
  • ใส่ปุ๋ยอย่างเหมาะสม: ช่วยให้ต้นมะเขือยาวแข็งแรง ต้านทานโรคและแมลงได้ดี
ข้อควรระวัง:
  • ควรฉีดพ่นในช่วงเช้าหรือเย็น แสงแดดจัดอาจทำให้ใบมะเขือยาวไหม้ได้
  • ไม่ควรฉีดพ่นสมุนไพรหรือสารละลายใดๆ ในช่วงที่มะเขือยาวกำลังออกดอก เพราะอาจทำให้ดอกร่วง
  • หมายเหตุ: วิธีเหล่านี้เป็นวิธีจากธรรมชาติ อาจต้องใช้เวลาและความสม่ำเสมอในการดูแล เพื่อผลลัพธ์ที่ดีที่สุดในการกำจัดแมลงหวี่ขาว 👍

โรคพืชที่สำคัญในมะเขือยาวช่วงฤดูฝน

 โรคพืชที่สำคัญในมะเขือยาวช่วงฤดูฝน

  • โรคที่เกิดจากเชื้อรา:
  • โรคใบจุดวงสีน้ำตาล (Alternaria leaf spot): เกิดจากเชื้อรา Alternaria solani ทำให้เกิดจุดวงกลมสีน้ำตาลบนใบ อาจทำให้ใบไหม้และร่วง
  • โรคใบจุด Cercospora (Cercospora leaf spot): เกิดจากเชื้อรา Cercospora spp. ทำให้เกิดจุดเล็ก ๆ สีน้ำตาลบนใบ มีวงแหวนสีเหลืองล้อมรอบ
  • โรครากเน่าและโคนเน่า (Phytophthora root and crown rot): เกิดจากเชื้อรา Phytophthora spp. ทำให้รากและโคนต้นเน่า ต้นเหี่ยวเฉาและตายได้
  • โรคใบไหม้ (Late blight): เกิดจากเชื้อรา Phytophthora infestans ทำให้เกิดแผลสีน้ำตาลเข้มบนใบและผล อาจทำให้ผลเน่าได้
  • โรคราแป้ง (Powdery mildew): เกิดจากเชื้อรา Leveillula taurica ทำให้เกิดผงสีขาวบนใบ รบกวนการสังเคราะห์แสง
  • โรคที่เกิดจากแบคทีเรีย:
  • โรคเหี่ยวเขียว (Bacterial wilt): เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย Ralstonia solanacearum ทำให้ต้นเหี่ยวเฉาอย่างรวดเร็วและตาย
  • โรคใบจุดแบคทีเรีย (Bacterial leaf spot): เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย Xanthomonas spp. ทำให้เกิดจุดสีน้ำตาลเข้มบนใบ ขอบแผลมีสีเหลืองล้อมรอบ
แมลงศัตรูพืชที่สำคัญในมะเขือยาวช่วงฤดูฝน:
  • เพลี้ยอ่อน: ดูดกินน้ำเลี้ยงจากใบและยอดอ่อน ทำให้ใบม้วนงอ
  • แมลงหวี่ขาว: ดูดกินน้ำเลี้ยงจากใบ ทำให้ใบเหลืองและเป็นจุด ๆ
  • หนอนผีเสื้อกลางคืน: กัดกินใบและผล ทำให้เกิดความเสียหายต่อผลผลิต
  • ไรแดง: ดูดกินน้ำเลี้ยงจากใบ ทำให้ใบเป็นจุดสีเหลืองและแห้ง
การป้องกันและควบคุม:
  • เลือกพื้นที่ปลูกที่ระบายน้ำดี
  • ใช้เมล็ดพันธุ์ที่ปราศจากโรค
  • ปลูกพืชหมุนเวียน
  • กำจัดวัชพืช
  • ใช้สารป้องกันกำจัดโรคพืชและแมลงศัตรูพืชอย่างถูกต้องและปลอดภัย
  • ตรวจสอบแปลงปลูกอย่างสม่ำเสมอ
หมายเหตุ: ข้อมูลข้างต้นเป็นเพียงแนวทางทั่วไป ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญด้านการเกษตรในพื้นที่ของคุณเพื่อขอคำแนะนำเฉพาะเจาะจงเกี่ยวกับโรคพืชและแมลงศัตรูพืชในมะเขือยาว

เห็ดกระถินพิมานรักษามะเร็ง

พ่นควันไล่ผึ้ง

รักษาเก๊าท์

โกฏจุฬาลัมพาแห้ง